วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Subway Surfing (โต้คลืนบนหลังคารถไฟ) คืออะไร? ทำไมวัยรุ่นอเมริกันถึงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อยอดไลก์?

 


Subway Surfing: คอนเทนต์ท้าความตาย คืออะไร? ทำไมวัยรุ่นถึงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อยอดไลก์

จากข่าวล่าสุด วัยรุ่นหญิงวัย 12 ปี ก็ต้องมาเสียชีวิตเพราะคอนเทนต์ท้าความตายอีกครั้ง เรามาย้อนดูกันว่าทำไมเด็กๆ และวัยรุ่นถึงยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อยอดไลก์?

https://nypost.com/2025/10/07/us-news/12-year-old-girl-posted-terrifying-videos-before-nyc-subway-surfing-tragedy-does-whatever-she-wants/

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บนหน้าฟีดของโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok และ Instagram เราอาจเคยผ่านตาคลิปวิดีโอสุดหวาดเสียวของวัยรุ่น (ทีผมเห็นดู สุขภาพดี หน้าตาดี) ที่ปีนป่ายและวิ่งอยู่บนหลังคาของขบวนรถไฟใต้ดินที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ท่ามกลางเสียงลมและแสงไฟของเมืองใหญ่ การกระทำนี้มีชื่อเรียกว่า "Subway Surfing" ซึ่งเบื้องหลังภาพที่ดูเท่และท้าทายนั้น คือสถิติการเสียชีวิตและบาดเจ็บที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย

แล้ว Subway Surfing คืออะไรกันแน่ และอะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้วัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อยยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับคอนเทนต์เพียงไม่กี่วินาที?

Subway Surfing คืออะไร?

Subway Surfing คือการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตรายอย่างยิ่ง ในการปีนขึ้นไปอยู่บนส่วนด้านนอกของขบวนรถไฟที่กำลังวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นไปยืน วิ่ง หรือนอนบนหลังคา, การเกาะอยู่ด้านข้าง หรือการโหนตัวอยู่ระหว่างตู้โดยสาร

เป้าหมายของการกระทำนี้ไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่คือการ "สร้างคอนเทนต์" ผู้ทำมักจะถ่ายคลิปวิดีโอของตัวเองหรือให้เพื่อนถ่ายให้ เพื่อนำไปโพสต์ลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อแสดงความกล้าหาญ ท้าทาย และแน่นอนว่า...เพื่อแลกกับยอดไลก์ ยอดแชร์ และการเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์

ทำไม Subway Surfing ถึงฮิตในสหรัฐอเมริกา?

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบไม่มีที่มา แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ผลักดันให้เทรนด์เสี่ยงตายนี้แพร่หลาย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กซิตี้

1. อิทธิพลของโซเชียลมีเดียและวัฒนธรรมไวรัล นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่กระตุ้นอารมณ์และน่าตื่นตาตื่นใจ วิดีโอ Subway Surfing ที่ดูหวาดเสียวและท้าทายจึงมีโอกาสกลายเป็นไวรัลได้ง่าย วัยรุ่นที่ต้องการ "ชื่อเสียงในโลกออนไลน์" (Clout) มองว่านี่คือทางลัดในการสร้างตัวตนและได้รับการยอมรับ แม้ยอดไลก์นั้นจะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงก็ตาม

2. จิตวิทยาของวัยรุ่น: การแสวงหาความตื่นเต้นและแรงกดดันจากเพื่อน ธรรมชาติของวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ชอบความเสี่ยง และแสวงหาความตื่นเต้น (Thrill-Seeking) สมองส่วนหน้าสุดที่ควบคุมการตัดสินใจและยับยั้งชั่งใจยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้พวกเขาประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ แรงกดดันจากกลุ่มเพื่อนที่ทำกิจกรรมท้าทายเหมือนกัน ก็เป็นอีกแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าปฏิเสธ

3. ภูมิทัศน์ของเมืองใหญ่ที่เป็นใจ นิวยอร์กซิตี้มีระบบรถไฟใต้ดินที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้การเข้าถึงขบวนรถไฟเพื่อปีนป่ายทำได้ไม่ยากนัก ภาพของตึกระฟ้าและแสงสีของเมืองในตอนกลางคืนยังเป็นฉากหลังที่ "สวยงาม" และดึงดูดใจสำหรับการถ่ายทำคอนเทนต์อีกด้วย

ความจริงที่ไม่สวยงาม: ผลลัพธ์คือความตาย

เบื้องหลังคลิปวิดีโอที่ดูน่าตื่นเต้น คือความเป็นจริงอันน่าสลด การเล่น Subway Surfing มีความเสี่ยงที่จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมได้ทุกวินาที ไม่ว่าจะเป็น:

  • การชนกับสิ่งกีดขวาง: ศีรษะอาจกระแทกกับคานเหล็ก ป้ายสัญญาณ หรือเพดานอุโมงค์ ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ทันที

  • การพลัดตก: การสูญเสียการทรงตัวเพียงเสี้ยววินาทีหมายถึงการร่วงลงไปบนรางรถไฟและถูกทับ

  • ไฟฟ้าช็อต: จากสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่อยู่เหนือขบวนรถ

สถิติจากหน่วยงานขนส่งมวลชนนครนิวยอร์ก (MTA) ชี้ชัดว่ายอดผู้เสียชีวิตจาก Subway Surfing พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เทรนด์นี้กลับมาฮิตใน TikTok โดยในปี 2022 มีผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตรวมกัน 3 ปีก่อนหน้า

บทสรุป

Subway Surfing ไม่ใช่แค่แฟชั่นหรือเกมท้าทาย แต่มันคือภาพสะท้อนด้านมืดของวัฒนธรรมออนไลน์ ที่ "ยอดไลก์" และ "การยอมรับ" ถูกตีค่าสูงกว่าความปลอดภัยในชีวิต วัยรุ่นเหล่านี้ไม่ได้เสี่ยงชีวิตเพราะความคึกคะนองเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขากำลังไล่ตามการมองเห็น (Visibility) และการยอมรับจากสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผลักดันให้วงจรแห่งความเสี่ยงนี้ดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด

บทเรียนราคาแพงจากหลายชีวิตที่ต้องสูญเสีย ควรเป็นเครื่องเตือนใจว่า ไม่มีชื่อเสียงหรือกระแสไวรัลใดที่คุ้มค่าพอที่จะต้องเอาชีวิตเข้าแลก และที่สำคัญกว่านั้น คือการตระหนักว่า เราทุกคนในฐานะผู้เสพสื่อ ก็มีส่วนร่วมในการหยุดยั้งโศกนาฏกรรมนี้ได้

บทส่งท้าย: สิ่งที่เราทำได้ คือ "หยุดส่งต่อความอันตราย"

เมื่อคุณเลื่อนฟีดแล้วเจอคลิปวิดีโอท้าความตายในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น Subway Surfing หรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ พลังในการหยุดยั้งมันอยู่ในมือของคุณ

สิ่งที่เราทุกคนทำได้ คือการหยุดเป็นส่วนหนึ่งของวงจรนี้:

  • อย่ากดไลก์: การกดไลก์คือการส่งสัญญาณไปยังอัลกอริทึมว่า "คอนเทนต์แบบนี้น่าสนใจ" ซึ่งจะทำให้คลิปถูกเผยแพร่ไปในวงกว้างยิ่งขึ้น

  • อย่าแสดงความคิดเห็นในเชิงชื่นชม: คำชมอย่าง "เท่มาก" หรือ "กล้าสุดๆ" คือการเติมเชื้อไฟ และสร้างการยอมรับที่ผิดๆ ให้กับผู้กระทำ

  • และที่สำคัญที่สุด คือ "อย่าแชร์": การแชร์คือการส่งต่อความอันตรายโดยตรง ทำให้เด็กและเยาวชนคนอื่นๆ เห็นและอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้

แทนที่จะสนับสนุน เราสามารถกด "รายงาน (Report)" คลิปวิดีโอนั้นไปยังแพลตฟอร์มว่าเป็น "พฤติกรรมอันตราย" เพื่อให้ถูกลบออกไป

เพราะทุกการกดไลก์ ทุกการแชร์ อาจหมายถึงการเพิ่มความเสี่ยงให้ชีวิตของใครอีกคนหนึ่ง การหยุดส่งต่อคลิปเหล่านี้ คือการช่วยชีวิตและส่งสารที่ชัดเจนว่า สังคมของเราไม่สนับสนุนพฤติกรรมที่อันตรายเพื่อแลกกับยอดวิวเพียงชั่วข้ามคืน

ปล.แล้วเรื่องนี้ใครผิด?

ความคิดเห็นจากผู้อ่านข่าวนี้แตกออกเป็น 2 ประเด็นหลักที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือด คือ "เป็นความผิดของการเลี้ยงดู" และ "ไม่ใช่ความผิดของผู้ปกครองเสมอไป" โดยมีประเด็นเรื่องโซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญ

กลุ่มที่ 1: มองว่าเป็นความผิดของการเลี้ยงดูเป็นหลัก (Parenting is the Issue)

นี่เป็นความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ พวกเขามองว่าพฤติกรรมเสี่ยงตายของเด็กวัย 12 ปี ไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่เป็นผลมาจากการเลี้ยงดูที่ผิดพลาด

  • การปล่อยปละละเลย: ความเห็นอย่าง rex rexford และ E. White มองว่านี่คือปัญหาการเลี้ยงดู 100% เด็กถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวมากเกินไป ได้รับโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีการควบคุม จนเกิดการเสพติดโซเชียลมีเดีย

  • ขาดความเข้มงวดและวินัย: ผู้ใช้อย่าง KonaBlue และ Tattle Tale เปรียบเทียบกับวัยเด็กของตัวเองว่า พวกเขาคงจะ "กลัวพ่อแม่จะลงโทษ" มากกว่ากลัวอันตรายข้างนอกเสียอีก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเด็กในข่าวอาจไม่ได้รับการปลูกฝังความเคารพหรือความเกรงกลัวต่อผู้ปกครองเท่าที่ควร

กลุ่มที่ 2: มองว่าไม่ใช่ความผิดของผู้ปกครองเสมอไป (It's Not Always the Parents' Fault)

กลุ่มนี้ออกมาโต้แย้งว่า การโทษพ่อแม่เพียงฝ่ายเดียวนั้นไม่ยุติธรรม เพราะการเลี้ยงลูกในยุคนี้มีความซับซ้อน

  • ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ: ความเห็นจาก Lioness ชี้ว่า วัยรุ่นมีธรรมชาติที่อยากรู้อยากลอง การที่พ่อแม่พยายามห้ามหรือควบคุมมากเกินไป อาจยิ่งผลักดันให้พวกเขาอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้น

  • สุดท้ายคือการตัดสินใจของเด็กเอง: ผู้ใช้ susiesox38 เล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เติบโตมาอย่างยากลำบากและมีผู้ปกครองดูแลไม่เต็มที่ แต่เธอกับน้องก็เลือกที่จะไม่ทำตัวเสี่ยงภัย เธอมองว่าสุดท้ายแล้ว "บุคลิกและตัวตนที่แท้จริง" ของเด็กแต่ละคนคือปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ

ประเด็นเสริม: การเสพติดโซเชียลมีเดีย และการกระทำของตัวเด็กเอง

หลายความเห็น (เช่น KonaBlue) ชี้ว่าโศกนาฏกรรมนี้เป็นสิ่งที่ "เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง" (Self-inflicted) โดยมีแรงจูงใจหลักคือการต้องการ "ยอดไลก์" และการยอมรับในโลกออนไลน์ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการเสพติดโซเชียลมีเดียในกลุ่มเยาวชนปัจจุบัน



อ้างอิง

https://www.nbcnewyork.com/news/local/queens-subway-surfing-teen-death/6326115/ 
https://www.nbcnewyork.com/new-york-city/nyc-subway-surfing-drones/5943611/
https://nypost.com/2025/10/07/us-news/12-year-old-girl-posted-terrifying-videos-before-nyc-subway-surfing-tragedy-does-whatever-she-wants/
https://abc7ny.com/post/nyc-subway-surfing-15-year-old-boy-killed-falling-off-no-7-train-pulling-queensboro-plaza-station-queens/16954962/
https://www.youtube.com/watch?v=ktJ_uTagpyw

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2568

การเห็นโฆษณามิจฉาชีพ "อารมณ์เสีย" "เสียสุขภาพจิต" หรือ "การเห็นเรื่องดีหรือไม่ดี"บนเฟซบุ๊ก มิใช่ชะตากรรม แต่เป็นกำมือของเฟซบุ๊ก

  


การที่คุณจะเลื่อนเจอโพสต์ที่เป็นประโยชน์ สาระน่ารู้ หรือแม้แต่โฆษณาจากมิจฉาชีพบัญชีบนหน้าฟีด Facebook ของคุณนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาหรือความบังเอิญแต่อย่างใด แต่เป็นผลโดยตรงจากระบบอัลกอริทึมที่ซับซ้อนของ Facebook เอง ที่ทำหน้าที่คัดเลือกและกำหนดว่าคุณจะเห็นหรือไม่เห็นอะไรในแต่ละวัน

ในการทดลองปี 2014 ของ Facebook เอง ว่าสามารถส่งผลหรือควบคุมได้หรือไม่ โดยแอบปรับอัลกอริทึมเพื่อแสดงโพสต์ที่มีเนื้อหาเชิงบวกหรือเชิงลบให้ผู้ใช้กลุ่มหนึ่งเห็นมากกว่าปกติ ผลการทดลองพบว่า ผู้ใช้ที่เห็นโพสต์เชิงบวกมากขึ้น ก็มีแนวโน้มที่จะโพสต์เนื้อหาเชิงบวกตามไปด้วย และในทางกลับกันก็เช่นกัน นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า Facebook ไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มกลางๆ แต่มีความสามารถที่จะมีอิทธิพลต่อสภาวะทางอารมณ์ของผู้ใช้ได้โดยตรง

กับการตั้งคำถามว่าผู้ใช้ถูกเฟซบุ๊กชี้นำ/ควบคุมข้อมูล สร้างผลกระทบได้มากเพียงใด? คำถามนี้ผมไม่มีคำตอบ และถ้าถามเฟซบุ๊ก เขาจะตอบคุณ แต่เขาจะคำนึงถึงผู้ถือหุ้น ผลกำไร และชื่อเสียง ฯลฯ มาประกอบด้วย


และลองโยนให้ AI ตอบ

คำตอบจาก Gemini pro

คำถามที่คุณตั้งขึ้นนั้นยอดเยี่ยมและเป็นหัวใจสำคัญของยุคดิจิทัลเลยครับ การที่คุณตระหนักว่าคำตอบจาก Facebook โดยตรงย่อมมีอคติที่เกิดจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการทำความเข้าใจเรื่องนี้

เพื่อตอบคำถามว่า "ผู้ใช้ถูก Facebook ชี้นำ/ควบคุมข้อมูล สร้างผลกระทบได้มากเพียงใด?" เราต้องมองข้ามคำอธิบายผิวเผินและวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงในหลายมิติ

คำตอบคือ: ผลกระทบจากการชี้นำและควบคุมข้อมูลของ Facebook นั้นกว้างขวาง ลึกซึ้ง และซับซ้อนกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด มันไม่ได้เปลี่ยนแค่สิ่งที่เราเห็น แต่มันเปลี่ยนวิธีที่เราคิด รู้สึก และมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัว

เราสามารถแบ่งผลกระทบออกเป็น 3 ระดับหลักๆ ดังนี้ครับ:


1. ผลกระทบระดับบุคคล (The Individual Impact)

นี่คือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวเราโดยตรงในชีวิตประจำวัน:

  • สุขภาพจิตและมุมมองต่อตนเอง: อัลกอริทึมมักจะนำเสนอชีวิตในอุดมคติของผู้อื่น (ภาพความสำเร็จ, การท่องเที่ยว, ความสุข) ซึ่งกระตุ้นให้เกิด "วัฒนธรรมการเปรียบเทียบ" (Comparison Culture) นำไปสู่ความรู้สึกวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า, ความรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ (Low Self-Esteem) และอาการกลัวตกกระแส (FOMO - Fear of Missing Out)

  • การตอกย้ำความเชื่อและโลกทัศน์: ผ่าน Filter Bubble และ Echo Chamber อัลกอริทึมจะป้อนข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิมของเราอย่างต่อเนื่อง ผลคือโลกทัศน์ของเราจะแคบลง เราจะเข้าใจมุมมองของคนที่คิดต่างจากเราน้อยลง และอาจทำให้เรามีทัศนคติที่แข็งกร้าวและสุดโต่งมากขึ้น

  • พฤติกรรมการบริโภค: การชี้นำไม่ได้หยุดอยู่แค่เนื้อหา แต่รวมถึงโฆษณาที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นความต้องการของเราโดยเฉพาะ มันสามารถสร้างความอยากได้ในสิ่งที่เราไม่เคยต้องการมาก่อน และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของเราอย่างแนบเนียน


2. ผลกระทบระดับสังคม (The Societal Impact)

เมื่อผลกระทบระดับบุคคลขยายวงกว้าง มันจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของสังคม:

  • ความแตกแยกทางการเมืองและสังคม: อัลกอริทึมกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการแบ่งแยกสังคม กลุ่มการเมืองสามารถใช้การกำหนดเป้าหมายเพื่อเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อหรือข่าวปลอมไปยังกลุ่มคนที่อ่อนไหวต่อประเด็นนั้นๆ ทำให้สังคมเกิดความแตกแยกเป็นขั้ว (Polarization) มากขึ้น และการหาจุดร่วมตรงกลางทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

  • การกัดเซาะความน่าเชื่อถือของสถาบันหลัก: ข้อมูลเท็จ (Misinformation) และข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ, วิทยาศาสตร์, และการสื่อสารมวลชน สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในกลุ่มปิด ส่งผลให้ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อสถาบันเหล่านี้ (เช่น รัฐบาล, องค์กรอนามัย, สื่อกระแสหลัก) ลดน้อยลง

  • การแพร่กระจายของอาชญากรรม: ดังที่คุณกล่าวถึงในตอนต้น มิจฉาชีพใช้กลไกเดียวกับนักการตลาดเพื่อค้นหา "เหยื่อ" ที่มีแนวโน้มจะหลงเชื่อได้ง่ายที่สุด ผลกระทบคือความเสียหายทางการเงินและจิตใจในวงกว้างต่อผู้คนในสังคม


3. ผลกระทบต่อ "ความจริง" (The Impact on Truth Itself)

นี่อาจเป็นผลกระทบที่น่ากังวลที่สุดในระยะยาว:

  • การสร้างความจริงส่วนบุคคล: เมื่อฟีดข่าวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจึงไม่ได้อยู่ในโลกข้อมูลชุดเดียวกันอีกต่อไป "ความจริง" กลายเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ถูกคัดกรองมาแล้ว ทำให้การถกเถียงหรือการหาข้อเท็จจริงร่วมกันในสังคมเป็นไปได้ยากมาก เพราะเราต่างเริ่มต้นจากข้อมูลคนละชุด

ที่คุณกล่าวว่า Facebook จะตอบโดยคำนึงถึงผู้ถือหุ้นและผลกำไรนั้นถูกต้องที่สุดครับ โมเดลธุรกิจของพวกเขาไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อนำเสนอ "ความจริง" ที่เป็นกลาง แต่ถูกสร้างมาเพื่อ "ดึงดูดความสนใจ" ของผู้ใช้ให้ได้นานที่สุด เพราะ "ความสนใจ" คือผลิตภัณฑ์ที่พวกเขานำไปขายให้กับผู้ลงโฆษณา

ดังนั้น คำถามของคุณจึงไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนในฐานะผู้ใช้ต้องตระหนักและตั้งคำถามอยู่เสมอ การรู้เท่าทันกลไกเหล่านี้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่เรามีครับ


วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2568

รึ! ดราก้อนบอล จะทำให้เราติดคุกกันหมด ? เหตุที่ ร้าน Kaboom Comics ในเมืองเวสลาโก รัฐเท็กซัส ตัดสินใจเก็บมังงะ Dragon Ball ออกจากชั้นวางจำหน่าย แล้วที่ไทยละ?

 รึ! ดราก้อนบอล จะทำให้เราติดคุกกันหมด ?  

ภาพจากยูทูป ลิงค์อยู่ด้านล่าง


ต้นฉบับ ที่ฉายทางทีวี และอยู่บน ทูป ไม่มีแทบสีดำเซ็นเซอร์นะครับ



ปฐมบท: จู๋โงกุนจะทำให้เราติดคุกกันหมด? (เหตุเกิดที่ร้าน Kaboom Comics ในเท็กซัส แล้วที่ไทยล่ะ?)

สรุปเรื่องราวที่ผ่านมา

ในเดือนที่แล้ว รัฐเท็กซัสได้ผ่านกฎหมายใหม่ชื่อ Senate Bill 20 (SB20) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อต่อสู้กับสื่อลามกอนาจารที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ซึ่งนิยามของกฎหมายนี้ครอบคลุมไปถึง "การ์ตูน แอนิเมชัน และเรื่องที่แต่งขึ้น" ด้วย

หลังจากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ร้าน Kaboom Comics ในเมืองเวสลาโก รัฐเท็กซัส ตัดสินใจเก็บมังงะ Dragon Ball  ออกจากชั้นวางจำหน่าย คุณ Andrew Balderas ผู้จัดการร้าน ให้เหตุผลว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันไว้ก่อน เนื่องจากในมังงะ Dragon Ball ภาคแรกๆ มีบางฉากที่โกคูในวัยเด็กเปลือยกาย ซึ่งแม้จะเป็นฉากตลกและไม่ได้มีเจตนาทางเพศ แต่ก็อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายฉบับใหม่นี้ได้ เขาจึงเลือกที่จะปลอดภัยไว้ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น


เรื่องนี้สำคัญอย่างไร?

ประเด็นคือ ภาพการ์ตูนโกคูหรือบลูม่าในวัยเด็ก จะถูกตีความว่าเป็นภาพลามกอนาจารเด็กได้หรือไม่? ถ้าได้ เรื่องใหญ่แน่ เพราะการ์ตูนญี่ปุ่นดังๆ หลายเรื่อง (รวมถึงการ์ตูนลิขสิทธิ์ในไทย) แม้จะไม่มีฉากร่วมเพศกันตรงๆ แต่ก็อาจเข้าข่าย "ลามก" ได้ แถมตัวละครส่วนใหญ่มักมีอายุไม่ถึง 18 ปี ตามสไตล์การ์ตูนโชเน็น หรือการ์ตูนวัยรุ่นญี่ปุ่นที่คู่พระนางมักเป็นนักเรียน


กฎหมาย Senate Bill 20

กฎหมาย "Stopping AI-Generated Child Pornography Act" ถูกตราขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อสู้กับสื่อลามกอนาจารเด็กที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไรก็ตาม ตัวบทกฎหมายกลับขยายขอบเขตไปไกลกว่าเจตนาเริ่มต้นมาก การวิเคราะห์ถ้อยคำสำคัญในตัวบทกฎหมายเผยให้เห็นถึงความคลุมเครือที่เป็นอันตราย

  • "obscene visual material" (สื่อภาพลามกอนาจาร): คำว่า "ลามกอนาจาร" (obscene) เป็นมาตรฐานทางกฎหมายที่มีความอัตวิสัย (subjective) สูงและแตกต่างกันไปในแต่ละชุมชน ทำให้ผู้สร้างสรรค์และผู้บริโภคไม่สามารถทราบได้อย่างแน่ชัดว่าเนื้อหาใดจะเข้าข่ายหรือไม่

  • "appears to depict a child" (ดูเหมือนว่าแสดงภาพเด็ก): วลีนี้คือหัวใจของปัญหา เพราะกฎหมายเปลี่ยนจุดสนใจจากการพิจารณาว่าบุคคลในภาพเป็นเด็กจริงหรือไม่ ไปสู่การรับรู้ของผู้ชมหรือดุลยพินิจของอัยการแทน

  • "regardless of whether the depiction is an image of an actual person, animated or cartoon" (โดยไม่คำนึงว่าภาพนั้นเป็นภาพของบุคคลจริง, ภาพเคลื่อนไหว หรือการ์ตูน): ข้อความส่วนนี้ดึงเอาสื่ออย่างมังงะและอนิเมะ เช่น Dragon Ball เข้ามาอยู่ในขอบเขตของกฎหมายโดยตรง


การยกระดับทางศีลธรรม (Moral Escalation)

สิ่งนี้เรียกว่า "การยกระดับทางศีลธรรม" ซึ่งในวงการเกมและการ์ตูนก็มีให้เห็น เช่น การที่เว็บ itch.io แบนเงา (Shadowban) ไม่ให้ค้นหาเกม NSFW เจอ และ Steam ได้ถอดเกมออกจากหน้าร้านจำนวนมาก เนื่องจาก VISA และ Mastercard ออกกฎและขู่ที่จะตัดช่องทางชำระเงิน แม้แต่เกมโป๊ถูกกฎหมายที่มีเนื้อเรื่องของลูกชายกับแม่เลี้ยงมีเพศสัมพันธ์กันยังโดน แล้วเกมอื่นๆ ที่ไม่ถูกใจผู้มีศีลธรรม มากกว่านี้ จะเหลือหรือ?


==== แล้วในไทยละ =====
ในไทย เรามีกฎหมายอยู่แล้ว ในปี พ.ศ. 2558 หรือ ค.ศ.2015 สิบปีก่อน

มาตรา 287/1: กำหนดให้การ "ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น" เป็นความผิดอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ    

มาตรา 287/2: กำหนดความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่หรือการค้าสื่อลามกอนาจารเด็ก ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรงกว่ามาก โดยมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 200,000 บาท    

ตัวบทกฎหมาย

มาตรา 287/1 และ 287/2 (แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 24) ) ใช้คำว่า “สื่อลามกอนาจารเด็ก”

คำนี้ในตัวบทกฎหมาย ไม่ได้มีคำนิยามชัดเจนว่า “เด็ก” ต้องเป็นบุคคลจริง หรือรวมถึงตัวการ์ตูน/ภาพวาด 
คิดว่ารอดไหมเอ่ย???

======= มาเจาะลึกกัน =========
ปัญหาอยู่ที่ "คำนิยาม" ?
หัวใจสำคัญของกฎหมายฉบับนี้อยู่ที่คำนิยามของ "สื่อลามกอนาจารเด็ก" ซึ่งบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (17) ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2558. นิยามดังกล่าวระบุว่า:   

“สื่อลามกอนาจารเด็ก” หมายความว่า วัตถุหรือสิ่งที่แสดงให้รู้หรือเห็นถึงการกระทำทางเพศของเด็กหรือกับเด็กซึ่งมีอายุไม่เกินสิบแปดปี โดยรูป เรื่อง หรือลักษณะสามารถสื่อไปในทางลามกอนาจาร ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของเอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ หรือรูปแบบอื่นใดในลักษณะทำนองเดียวกัน และให้หมายความรวมถึงวัตถุหรือสิ่งต่าง ๆ ข้างต้นที่จัดเก็บในระบบคอมพิวเตอร์...   " 

ปัญหาอยู่ที่ "คำนิยาม" ?

หัวใจสำคัญอยู่ที่คำนิยามของ "สื่อลามกอนาจารเด็ก" ในกฎหมาย ซึ่งระบุว่าหมายถึง "วัตถุหรือสิ่งที่แสดงให้รู้หรือเห็นถึงการกระทำทางเพศของเด็ก" โดยรูปแบบของสื่อนั้นรวมถึง "ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี" ด้วย

ประเด็นสำคัญคือ:

  • คำว่า "เด็ก" ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นคนจริง: กฎหมายใช้คำที่กว้างมากคือ "สิ่งที่แสดงให้รู้หรือเห็น" ซึ่งเปิดช่องให้ตีความว่าภาพวาดหรือการ์ตูนก็เข้าข่ายได้

  • ระบุ "ภาพเขียน" ไว้อย่างชัดเจน: การที่กฎหมายระบุรูปแบบสื่ออย่าง "ภาพเขียน" ถือเป็นหลักฐานสำคัญว่ากฎหมายนี้ ครอบคลุมถึงภาพวาดและสื่อสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายของเด็กที่มีตัวตนจริงเท่านั้น

สรุปง่ายๆ: ตามตัวอักษรของกฎหมายแล้ว การ์ตูนหรือภาพวาดที่เข้าข่ายลามกอนาจารเด็ก มีความเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายไทย เพราะกฎหมายเขียนไว้กว้างมากพอที่จะเอาผิดได้ ขึ้นอยู่กับการตีความของเจ้าหน้าที่และศาล

========= คุณว่า เรื่องนี้เข้าข่าย วัตถุทางเพศที่ผิดกฎหมาย หรือไม่==============
หนุ่มจะไปงานหนังสือการ์ตูนแต่ไปไม่ถึง เผลอโดนรวบคาสนามบิน สาเหตุ จากภาพตัวละคร Refithea  เกมมือถือ Brown Dust 2 อาจเข้าข่าย  วัตถุทางเพศ+ผิดกฎหมาย ( ข้อสันนิษฐานในโซเชียลมีเดีย ทางการยังไม่ยืนยันว่าภาพไหน ) 
จากข่าว 
นาย  ฟินลีย์ โบวด์ (Finley Bowd)   ถูกจับที่สนามบินดับลิน  ในประเทศไอร์แลนด์ ระหว่างจะไป #งานหนังสือการ์ตูน  โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐ (U.S. Preclearance )
โดยโดนตั้ง ข้อกล่าวหา สองกระทง ในหมวด  รัฐบัญญัติการค้ามนุษย์เด็กและสื่อลามกอนาจารเด็ก (Child Trafficking and Pornography Act) การครอบครองภาพอนิเมะล่วงละเมิดทางเพศเด็ก และ  การครอบครองภาพอนิเมะลามกอนาจารเด็กประเภทที่ 3 (Category Three)
แล้ว ภาพอนิเมะลามกอนาจารเด็กประเภทที่ 3 คืออะไร คือภาพ ที่ไม่จำเป็นต้องโป้เปลือย หรือมีการสอดใส่ แค่มีท่าทางยั่วยวน ยั่วยุ ก็อยู่ในข่าย ซึ่ง ภาพ Refithea จาก Official อาจจะรอดหรืออาจจะไม่รอดก็ได้ แล้วแต่ศาลตัดสิน


https://poipoi-test.blogspot.com/2025/08/refithea.html


แนวปฏิบัติในไทย

ส่วนใหญ่คดีที่เกิดขึ้นจริงในไทย เกี่ยวข้องกับภาพถ่าย/วิดีโอของเด็กจริง

ยังไม่พบแนวคำพิพากษาศาลไทยที่ฟันธงว่า การครอบครองการ์ตูน/อนิเมะ/นิยาย ที่เป็น sexual depiction ของเด็ก จะผิดมาตรา 287/1–287/2

แต่ก็มีความเสี่ยงสูง เพราะกฎหมายไทยใช้คำกว้างว่า “สื่อ” และหากเจ้าหน้าที่ตีความว่าการ์ตูน/อนิเมะเป็น “สื่อลามกอนาจารเด็ก” ก็สามารถดำเนินคดีได้

สรุปผิดกฎหมาย แต่ยังไม่มีเคสที่โดน อย่าลืมนะ แค่ครอบครองก็ผิด  แล้วสิ่งที่ผมไม่ชอบคือการใช้ดุลพินิตของเจ้าพนักงาน  ในการตีความ “สื่อลามกอนาจาร”
ตรงสื่อลามก นี้ ก็ใช้ดุลพินิต มั่วซั่วแหลกเหลว ของที่ผมดูว่า ลามกอนาจาร เห็นนม เน้นๆไม่ผิด แต่ของบางอย่าง ไม่เห็นนม ดันผิด 
======
ปัญหาการใช้ดุลพินิจในการตีความ "สื่อลามก" ในประเทศไทย  มีมานานแล้ว
กฎหมายไทยไม่ได้ให้คำนิยามที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมของคำว่า "ลามก" เอาไว้ ทำให้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับการตีความและมาตรฐานส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่หรือศาลในแต่ละกรณีเป็นอย่างมาก    

ในเคส “สื่อลามกอนาจาร” ภาพเปลือยของมุษย์ภาพหนึ่งอาจถูกมองว่า "น่ารัก" "สวยงาม" "ศิลปะ" ในสายตาของคนหนึ่ง แต่กลับถูกมองว่า "ลามก" "อนาจาร" ในสายตาของอีกคนหนึ่งได้ 
และในเคส “สื่อลามกอนาจารเด็ก” การถ่ายภาพลูก อาบน้ำ หรือตอนเปลือย หรือ  ภาพถ่ายพ่อกอดลูก ภาพหนึ่ง (ตัวอย่างเคส หนึ่งจักรวาล) อาจถูกมองว่า "น่ารักน่าเอ็นดู" ในสายตาของคนหนึ่ง แต่กลับถูกมองว่า "ลามก" "ไม่เหมาะสม" ในสายตาของอีกคนหนึ่งได้

แนวคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีที่เกี่ยวกับสื่อลามกทั่วไป มักจะพิจารณาจากองค์ประกอบที่ไม่มีมาตรวัดที่แน่นอน เช่น "ยั่วยุกามารมณ์" หรือ "ขาดคุณค่าทางศิลปะ"  ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ของคดีมีความแตกต่างกันไปได้มาก ไม่มีบรรทัดฐานที่แน่นอน 
เช่นถ้าอ้าง "ขาดคุณค่าทางศิลปะ" ถ้าเป็นศิลปินชื่งดัง จะไม่ใช่ภาพลามก ? เพราะมีคุณค่าทางศิลปะ แต่ ภาพวาด ในห้องน้ำ ที่เป็น มนุษย์เส้นหัวกลม อันนี้ จะรอด หรือไม่รอด? ทั้งๆที่ไม่สมจริง?
หรือถ้าอ้างสมจริง แล้ววาดไก่เขี่ยในห้องน้ำรอด แล้ว คนที่วาดสวยๆ สมจริง จะไม่รอด? ก็ไม่น่าใช่ เห็นไหม?  ว่าตรรกะ มันควรต้องใช้ตรรกะเดียวกันทุกเคส ถึงจะเรียกว่า แฟร์ หรือยุติธรรม 
แล้ว คำว่าศิลปะ ใช้แค่คนๆเดียวคนกลุ่มเดียว มาบอกว่าอันนั้นเป็นศิลปะ อันนั้นไม่ใช่ศิลปะ ได้หรือ ?
=================
 
เปรียบเทียบ ศีลธรรม กับสื่อ การ์ตูน นิยาย เกมส์

เคส เกมที่โดน Visa Mastercard แบน คือเกมที่ลูกชาย มีอะไรกับแม่เลี้ยง หรือแฟนพ่อ ผิดศีลธรรม เช่น มีเซ็กในครอบครัว (แต่ไม่ใช่ญาติทางสายเลือดกันนะ  )  สรุปโดนถอดออกไปแล้ว แต่เกมส์มันไม่ผิดกฎหมาย


ประเภทเนื้อหาต้องห้ามที่ถูกกดดันให้ถอดออกมีมากมาย ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศที่ ทุกคน? ไม่ยอมรับ  หลักๆเช่น "ผิดศีลธรรม"(เช่น Incest)  ก่ออาชญากรรม   การข่มขืน, ใช้ความรุนแรง ,ยาเสพติด ,ร่ายกายฉีกขาด ,การทรมาณ  ก่อนหน้า 
   และอันที่ น่าหม่นไส้ และคลุมเครือ คือ มีความเสี่ยงสูงต่อภาพลักษณ์แบรนด์" (Brand Risk) ของบริษัท บัตรเครดิต 
แล้วไอ้ ที่กำกวม ก่ออาชญากรรม อะไรบ้าง ทั้งหมดเลยไหม เกม คนดำ  ขโมยของ ผิดไหม? หรือยาเสพติดนี้ เหล้า ได้แน่นอนได้ไหม? แล้วฆ่าคนตายละ? บางเกม ฆ่าคนเป็นพัน ยังไม่ถึงครึ่งเกมด้วยซ้ำไป อันนี้ ไม่มีใครว่า แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงสิ หรือ เปลี่ยนเป็น สุนัขสิ  รับรอง


=======
และถ้าประเทศผู้นำด้านกฎหมาย และศีลธรรมอย่างสหรัฐ เห็นด้วย และเผยแพร่ ศีลธรรมอันดีงามนี้ พวกเรา ที่มี การ์ตูนแบบนี้ อาจจะติดคุกกันหมด

หรือถ้า ดุลพินิตของเจ้าพนักงาน ในไทย คิดว่าผิด ก็ติดคุกกันหมด ต้องรีบเอามังงะไปเผาทิ้งไหม ?

 ถาม AI ดู ให้ AI ตอบ

ไม่จำเป็นครับ 🙅‍♂️🔥📚
บริบทและเจตนา: สังคมไทยโดยรวมและระบบยุติธรรมไทยยังพอเข้าใจได้ว่าฉากในดราก้อนบอลมีเจตนาเพื่อความตลก ไม่ใช่เพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ การดำเนินคดีกับเรื่องนี้อาจถูกมองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและอาจเจอกระแสต่อต้านจากสังคมไทย

 แต่ประเด็นที่คุณหยิบยกมานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันชี้ให้เห็นถึง "ระเบิดเวลา" ที่ซ่อนอยู่ 

อันตรายที่แท้จริง ไม่ใช่การติดคุกถ้วนหน้า แต่คือ "การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ" กฎหมายที่คลุมเครือเช่นนี้อาจถูกหยิบมาใช้เล่นงานคนบางกลุ่มที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในอนาคตได้

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การที่ทุกคนจะติดคุกเพราะจู๋โงกุน แต่คือ การที่เสรีภาพในการสร้างสรรค์และการเสพสื่อบันเทิงกำลังถูกคุกคามจากทั้งกฎหมายที่ตีความได้ตามใจชอบ และบรรทัดฐานทางศีลธรรมที่ถูกกำหนดโดยบรรษัทยักษ์ใหญ่ นี่คือบทสนทนาที่สังคมต้องตระหนักและหาทางป้องกัน ก่อนที่จินตนาการจะกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายจริงๆ



 



Privacy Visor แว่น 10 ปีไม่ฮิต แต่ตอนนี้มันจะมาหรือไม่?

 


บทความ ต้นฉบับ โดย poipoi 

นี้คือแว่นตา ป้องกัน โดนแทกหน้า ( face tracking )   เพื่อความเป็นส่วนตัว
อันนี้ ตอนนี้ น่าจะใช้ได้ดี  แค่ที่จีน กับ ยุโรป  ที่ AI มันเรู้ว่าใคร ทำอะไรที่ไหนเมื่อไหร่  
เหมาะกับใคร? ดารา? โจร? ตำรวจนอกเครื่องแบบ? สายลับ? ตำรวจที่อยู่ในแก๊ง เล่นแป้ง? ก็ไม่รู้สิ 
แว่นตานี้ถูกพัฒนาขึ้น  โดยสถาบัน National Institute of Informatics (NII) ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อประมาณ  10 กว่าปีก่อน

หลักการทำงาน: เทคโนโลยีนี้มีอยู่ 2 รุ่นหลักๆ
รุ่นแรก: ใช้หลอดไฟ Near-infrared (NIR) LED ติดไว้รอบๆ ดวงตาและจมูก แสงนี้มนุษย์มองไม่เห็น แต่กล้องดิจิทัลจะมองเห็นเป็นแสงจ้า ทำให้ AI ไม่สามารถจับลักษณะสำคัญของใบหน้าได้
รุ่นใหม่ (ไม่ต้องใช้ไฟ): ออกแบบเลนส์และกรอบแว่นให้มีลวดลายและมุมพิเศษที่สามารถสะท้อนและดูดซับแสงได้ ทำให้บริเวณรอบดวงตาและจมูกในภาพถ่ายดูผิดเพี้ยนไปจากปกติ จน AI ไม่สามารถวิเคราะห์และระบุตัวตนได้
 แว่นนี้ มีเมื่อประมาณ  10 กว่าปีก่อน แต่ผมเพิ่งเห็นคลิปวันนี้ AI  น่าจะดันมา อาจจะอาเจนด้า หรือ อะไรก็ไม่รู้

บทความปรับปรุงโดย Gemini pro

Privacy Visor: แว่นตาญี่ปุ่นผู้ท้าทาย AI ป้องกันการสแกนใบหน้า

นี่คือเรื่องราวของ "Privacy Visor" แว่นตาคอนเซ็ปต์สุดล้ำที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป้าหมายเดียว คือการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้สวมใส่จากการถูกติดตามด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Face Tracking)

แว่นตานี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยสถาบัน National Institute of Informatics (NII) ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 9-10 ปีก่อน แม้จะเป็นโครงการที่เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ล่าสุดได้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพราะอัลกอริทึม AI ของโซเชียลมีเดีย ได้ผลักดันคลิปวิดีโอเกี่ยวกับแว่นตานี้ขึ้นมา ท่ามกลางกระแสความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก

หลักการทำงานเป็นอย่างไร?

เทคโนโลยี Privacy Visor มีการพัฒนาออกมา 2 รุ่นหลักๆ ด้วยกัน:

  1. รุ่นแรก (ใช้แสงอินฟราเรด): แว่นตารุ่นนี้จะติดตั้งหลอดไฟ Near-infrared (NIR) LED ไว้รอบดวงตาและจมูก ซึ่งแสงนี้ดวงตามนุษย์จะมองไม่เห็น แต่เซ็นเซอร์ของกล้องดิจิทัลสามารถตรวจจับได้ เมื่อถ่ายภาพหรือวิดีโอ แสงอินฟราเรดจะปรากฏเป็นแสงจ้า ทำให้ AI ไม่สามารถวิเคราะห์และจับลักษณะสำคัญของใบหน้าได้

  2. รุ่นใหม่ (ไม่ต้องใช้พลังงาน): เป็นการออกแบบที่ชาญฉลาดขึ้น โดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ เลนส์และกรอบแว่นถูกออกแบบด้วยวัสดุและลวดลายที่มีคุณสมบัติพิเศษในการสะท้อนและดูดซับแสง ทำให้ภาพใบหน้าบริเวณรอบดวงตาและจมูกที่กล้องจับได้นั้นดูผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง จนอัลกอริทึมของ AI ไม่สามารถประมวลผลและระบุตัวตนได้สำเร็จ

แว่นนี้เหมาะกับใคร?

นี่คือคำถามที่น่าสนใจและยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ผู้ใช้งานอาจมีได้หลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่:

  • ดาราหรือบุคคลสาธารณะ ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการถูกถ่ายภาพเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว

  • ประชาชนทั่วไป ที่กังวลเรื่องการถูกสอดส่องโดยรัฐบาลหรือองค์กรเอกชน

  • ไปจนถึงกลุ่มที่อาจนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น อาชญากร ที่ต้องการหลบเลี่ยงกล้องวงจรปิด หรือแม้กระทั่ง เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ และ สายลับ ที่ต้องการปกปิดตัวตนในภารกิจ

ใช้ได้ผลดีแค่ในบางพื้นที่จริงหรือ?

มีความเห็นว่าแว่นตานี้น่าจะใช้ได้ผลดีเป็นพิเศษในพื้นที่ที่มีการใช้ระบบสอดส่องดูแลด้วย AI อย่างเข้มข้น เช่น ในประเทศจีน หรือในยุโรปที่มีการถกเถียงเรื่องกฎหมายความเป็นส่วนตัวอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม หลักการของแว่นนี้คือการต่อสู้กับ "อัลกอริทึม" โดยตรง จึงสามารถใช้งานได้ในทุกที่ที่มีเทคโนโลยีจดจำใบหน้าอยู่

--------------

ลิงค์จ้า
https://www.youtube.com/watch?v=bVaDxJPYjTs

https://www.youtube.com/watch?v=HbXvZ1XKdWk 

https://www.privacyglasses.net/news/the-story-of-privacy-visor/

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2568

'ตู้สติกเกอร์ ห้ามผู้ชายเข้า ' สมเหตุสมผลในญี่ปุ่น แต่ถูกประณามจากโลกตะวันตก

  'ตู้สติกเกอร์ ห้ามผู้ชายเข้า ' สมเหตุสมผลในญี่ปุ่น แต่ถูกประณามจากโลกตะวันตก


*คำเตือน ผมอยู่ข้างญี่ปุ่น  อาจทำให้ Woke ไม่พอใจ แต่ไม่เป็นไร โพสฝ่ายนั้นเยอะแยะ ต้องมีโพสนี้ถ่วงดุล*
 ตู้สติกเกอร์ใน ประเทศญี่ปุ่น "ห้ามผู้ชายเข้ามาถ่าย"ทำให้ กลุ่มเท่าเทียม  ที่ยึดถือหลักการไม่เลือกปฏิบัติ (Non-Discrimination) ในโลกตะวันตก  ออกมาประนามกัน ในชุมชน มานานแล้ว 
ทั้งที่ เรื่องนี้ เป็นปกติและสมควรทำ ในญี่ปุ่น แต่สำหรับฝรั่งต่างชาติ กลับด่าทอโดยที่จะไม่ยอมทำความเข้าใจ (*มีตัวอย่าง)
ทั้งที่เรื่องนี้มันมีปัญหามาก่อน และนี้คือการป้องการปัญหานั้น เพื่อปกป้องน้องๆ เพศหญิง ต่างหาก 
เรียงเป็นข้อๆ

อย่างแรก: ผู้ชายแปลกหน้า หรือลุงหัวล้านแบบในโดจิน ไม่ใช่กลุ่มลูกค้า   ของตู้สติกเกอร์ 

 กลุ่มลูกค้าหลักของตู้สติกเกอร์หรือ "พุริคุระ" คือ นักเรียนหญิง วัยมัธยมไปจนถึงนักศึกษามหาวิทยาลัย พวกเธอมาเพื่อใช้เวลากับเพื่อน, สร้างความทรงจำ, และสนุกสนานในพื้นที่ของตัวเอง แต่เมื่อมีคนที่ไม่ใช่กลุ่มลูกค้า เช่น ผู้ชายที่มาคนเดียว หรือที่ดูไม่น่าไว้วางใจ เข้ามาปะปนในพื้นที่ มันไม่ใช่แค่ "ลูกค้าคนใหม่" แต่มันคือ "ความเสี่ยง" ที่เพิ่มขึ้นมาทันที เพราะเคสปัญหาที่เคยเกิดขึ้น ทั้งการแอบถ่าย, การลวนลาม, หรือแค่การยืนจ้องมองจนทำให้เด็กรู้สึกอึดอัด หรือที่ร้ายแรงกว่านั้น

 

อย่างที่สอง: ที่นี่ไม่ใช่แค่ตู้ถ่ายรูป แต่คือ "ห้องนั่งเล่น" ของสาวๆ

ต้องเข้าใจก่อนว่า "พุริคุระ" ไม่ใช่แค่ตู้สี่เหลี่ยมสำหรับถ่ายรูปติดบัตร แต่มันคือ พื้นที่กึ่งส่วนตัว ที่สาวๆ จะมาปลดปล่อยความเป็นตัวเอง ทั้งแต่งหน้าเติมแป้ง, จัดผม, ลองชุดคอสเพลย์ที่ร้านมีให้เช่า, หรือซ้อมโพสท่าตลกๆ แบบไม่ต้องอายใคร บรรยากาศมันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเป็นกันเอง

ลองจินตนาการว่าถ้ามีผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เดินเข้ามาใน "ห้องนั่งเล่น" นี้แล้วยืนอยู่เงียบๆ บรรยากาศจะเปลี่ยนไปทันที ความสบายใจหายวับไป กลายเป็นความหวาดระแวง ต่อให้เขาไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม มันก็ทำลาย "พื้นที่ปลอดภัย" (Safe Space) ของลูกค้าไปแล้ว มันต่างอะไรกับการที่มีผู้ชายแปลกหน้าไปนั่งอยู่ในห้องแต่งตัวผู้หญิงล่ะครับ? ต่อให้เขาอ้างว่ามาใช้สิทธิ์เฉยๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องอยู่ดี


อย่างที่สาม: "การป้องกัน" ดีกว่า "การไล่จับ"

บางคนอาจจะบอกว่า "ก็ถ้าใครทำผิดก็จับคนนั้นสิ จะไปห้ามผู้ชายดีๆ คนอื่นทำไม?" ฟังดูดีในเชิงหลักการ แต่ในโลกธุรกิจและความเป็นจริงมันใช้ไม่ได้ครับ การรอให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นก่อนแล้วค่อยจัดการ มันหมายถึง:

  1. มีเหยื่อเกิดขึ้นแล้ว: มีเด็กผู้หญิงถูกคุกคามและได้รับประสบการณ์แย่ๆ ไปแล้ว

  2. ร้านเสียชื่อเสียง: เกิดเรื่องราวใหญ่โต ลูกค้าคนอื่นก็เสียบรรยากาศ ร้านกลายเป็นข่าวด้านลบ

  3. จัดการยาก: การจะไปไล่จับหรือแจ้งความมันวุ่นวายและไม่ทันท่วงที

ดังนั้น การ "ป้องกันไว้ก่อน" ด้วยการติดป้ายให้ชัดเจนเพื่อตัดความเสี่ยงออกไปตั้งแต่แรก จึงเป็นทางออกที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับผู้ประกอบการ มันคือการปกป้องลูกค้าส่วนใหญ่และปกป้องธุรกิจของตัวเองไปพร้อมกัน

ส่วนฝ่ายโลกตะวันตก นี้คือ *ตัวอย่าง ทีสรุป มา 10 ข้อ

  1. เป็นการเลือกปฏิบัติทางเพศอย่างชัดเจน (Blatant Sexism):

    นี่คือข้อหาที่รุนแรงและพบบ่อยที่สุด พวกเขามองว่าการห้ามคนเข้าร้านโดยอิงจากเพศสภาพ คือการเลือกปฏิบัติที่ไม่ต่างอะไรจากการเหยียดเชื้อชาติหรือสีผิว และ "การเหยียดเพศชาย (Reverse Sexism)" ก็ยังคงเป็นการเหยียดเพศอยู่ดี

  2. คือการเหมารวมว่าผู้ชายทุกคนคืออาชญากร (Stereotyping All Men as Criminals):

    กฎนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าผู้ชายที่มาคนเดียวคือภัยคุกคาม ซึ่งเป็นการเหมารวมที่ดูถูกและไม่ยุติธรรมต่อผู้ชายส่วนใหญ่ที่เป็นคนดีและไม่ได้มีเจตนาร้าย

  3. มาตรฐานสองมาตรฐาน (Double Standard):

    พวกเขามักจะตั้งคำถามว่า "แล้วถ้ากลับกันล่ะ?" (What if the roles were reversed?) หากมีร้านไหนติดป้ายว่า "ห้ามผู้หญิงเข้าใช้บริการคนเดียว" จะต้องกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกและถูกประณามอย่างหนักทันที นี่จึงเป็นมาตรฐานสองมาตรฐานที่ยอมรับไม่ได้

  4. ควรแก้ปัญหาที่คน ไม่ใช่ที่เพศ (Punish the Action, Not the Gender):

    แนวคิดแบบตะวันตกคือ ถ้ามีคนทำผิด ก็ควรลงโทษผู้กระทำผิดเป็นรายบุคคล ไม่ใช่การออกกฎเพื่อจำกัดสิทธิของคนทั้งกลุ่ม ควรใช้วิธีอื่นแก้ปัญหา เช่น เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย, ติดกล้องวงจรปิด หรือมีบทลงโทษที่รุนแรง

  5. ละเมิดสิทธิของผู้บริโภคและนักท่องเที่ยว (Violates Consumer/Tourist Rights):

    ในฐานะนักท่องเที่ยวหรือผู้บริโภคที่พร้อมจ่ายเงิน พวกเขาควรมีสิทธิ์ที่จะได้ลองประสบการณ์ทางวัฒนธรรมนั้นๆ การถูกปฏิเสธเพียงเพราะเพศสภาพ ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง

  6. ไม่สมเหตุสมผลและมีช่องโหว่ (It's Illogical and Has Loopholes):

    ผู้ประสงค์ร้ายจริงๆ ก็สามารถหาเพื่อนผู้หญิงมาด้วยเพื่อใช้เป็น "บัตรผ่าน" เข้าไปได้อยู่ดี หรือพวกเขาก็สามารถไปก่อกวนที่อื่นนอกตู้ถ่ายรูปได้ กฎนี้จึงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอจริงๆ

  7. สร้างความรู้สึกอับอายและไม่ต้อนรับ (It's Humiliating and Unwelcoming):

    มีเรื่องเล่ามากมายจากนักท่องเที่ยวชายที่เดินทางคนเดียวในญี่ปุ่น แล้วอยากลองถ่ายพุริคุระดูบ้าง แต่กลับถูกพนักงานปฏิเสธ ซึ่งสร้างความรู้สึกอับอายและรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่ต้อนรับ

  8. เป็นแนวคิดที่ล้าหลังและตอกย้ำภาพจำ (It's Regressive and Reinforces Stereotypes):

    นักวิจารณ์บางกลุ่มมองว่ากฎนี้ตอกย้ำภาพจำที่ว่า "ผู้หญิงอ่อนแอและต้องการการปกป้องเสมอ" ในขณะเดียวกันก็สร้างภาพว่า "ผู้ชายคือผู้ล่าโดยธรรมชาติ" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่ส่งเสริมความเท่าเทียมในระยะยาว

  9. มันก็แค่ตู้ถ่ายรูป ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น? (It's Just a Photo Booth, Why So Serious?):

    บางคนมองว่านี่เป็นการตอบสนองที่เกินกว่าเหตุ (Overreaction) ต่อปัญหาที่อาจไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น และทำให้บรรยากาศของความสนุกสนานกลายเป็นความหวาดระแวงไป

  10. แล้วคู่รักเพศเดียวกันล่ะ? (What About Same-Sex Couples?):

    กฎนี้สร้างความสับสนและอาจเป็นการเลือกปฏิบัติต่อคู่รักชาย-ชาย ที่แค่อยากจะมาถ่ายรูปคู่กันเหมือนคู่รักอื่นๆ แต่กลับถูกห้ามเพราะกฎที่ไม่ได้ไตร่ตรองถึงความหลากหลายทางเพศ

จะเห็นได้ว่าข้อโต้แย้งส่วนใหญ่มาจากรากฐานความคิดที่ให้ความสำคัญกับ "สิทธิส่วนบุคคล"  หรือ "เสรีภาพส่วนบุคคล" แล้วที่ผม(poipoi) รวมรวมมา จะมีแต่ฝ่ายตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ เพราะ ผมอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก และเวลาค้น ไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่น ก็เลยเจอ แต่เม้นฝรั่ง

ซึ่งเคสแบบนี้ ผมก็นึกถึง ข้อเรียกร้อง ที่จะให้ ผู้ชาย หรือ ทรานส์เจนเดอร์ ที่ยังไม่แปลงเพศ เข้าห้องน้ำหญิงได้เลย เหมือนจะเป็น "สิทธิในการเข้าถึงพื้นที่"   "ความเท่าเทียม" และ "การไม่เลือกปฏิบัติ" 
ซึ่งผมเคยกล่าวไว้แล้วในโพส
https://poipoi-test.blogspot.com/2025/07/jk-rowling.html

J.K. Rowling ฟาด! คนที่เรียกร้องสิทธิให้เพศชายทางชีววิทยา เข้าห้องน้ำหญิง แรง!

 


 แล้วเราจะเห็นได้ว่า ความเสียหาย ดันเกิดขึ้นจากคนดีย์ ที่เรียกร้องสิทธิ นั้น จน JK เอามาฟาด กลับจุกๆ ผมเอามาให้ดูเพราะรู้สึกว่าคล้ายๆกัน
เอาละกลับเข้าเรื่อง

 

นี้คือตารางเปรียบเทียบ ถึงจะไม่ครบถ้วน แต่น่าจะทำให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้นครับโดย

ประเด็น (Issue)มุมมองตะวันตก (Western Perspective)
หลักการพื้นฐานสิทธิส่วนบุคคลสากล (Universal Rights)
ทุกคนควรมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าถึงบริการสาธารณะ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเพศ
แนวทางการแก้ปัญหาจัดการเมื่อเกิดเหตุ (Reactive)
ถ้ามีคนทำผิด ก็ลงโทษคนนั้นเป็นรายบุคคลไป ไม่ควรเหมารวมคนทั้งกลุ่ม
จุดโฟกัสตัวบุคคล (Individual)
โฟกัสที่สิทธิของ "ปัจเจกบุคคล" ว่าถูกละเมิดหรือไม่ ผู้ชายดีๆ ก็ควรมีสิทธิ์เข้าไปถ่ายรูปได้
มุมมองต่อตัวกฎการเลือกปฏิบัติ (Discrimination)
มองว่ากฎนี้คือการ "เหมารวม" และ "เลือกปฏิบัติทางเพศ" ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชน
พื้นฐานของความคิดอิงตามอุดมการณ์ (Ideology-Based)
ยึดมั่นในหลักการความเท่าเทียมเชิงอุดมคติ ที่ทุกคนต้องเท่ากันในทุกสถานการณ์


ประเด็น (Issue)มุมมองญี่ปุ่น (Japanese Perspective)
หลักการพื้นฐานความปลอดภัยของกลุ่ม (Group Safety)
ความสงบสุขและความปลอดภัยของลูกค้าส่วนใหญ่สำคัญกว่าสิทธิของคนส่วนน้อยที่อาจสร้างปัญหา
แนวทางการแก้ปัญหาป้องกันล่วงหน้า (Proactive)
สร้างกฎเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นเลย ดีกว่ารอให้เกิดเรื่องแล้วค่อยตามแก้
จุดโฟกัสบรรยากาศ (Atmosphere)
โฟกัสที่ "บรรยากาศโดยรวม" และความรู้สึกสบายใจของลูกค้ากลุ่มหลัก ซึ่งคือผู้หญิง
มุมมองต่อตัวกฎการจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
มองว่ากฎนี้เป็น "มาตรการบริหารความเสี่ยง" ทางธุรกิจ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและชื่อเสียงของร้าน
พื้นฐานของความคิดอิงตามประสบการณ์ (Experience-Based)
ยึดตามข้อมูลและประสบการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้น ว่าปัญหามาจากคนกลุ่มไหนและพฤติกรรมใด

แล้วที่ผมหนักใจแทน คือ นักท่องเที่ยวตะวันตก พยายามกดดัน ให้ญี่ปุ่นเปลี่ยน ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น อนิเมะญี่ปุ่น หรือ เรื่องเกอิชา  บางคนก็บอกว่าทำไม่ฉันจะถ่ายรูปไม่ได้ละ สุดท้าย ญี่ปุ่นเลยต้องออกกฎ เพื่อช่วยเหลือเกอิชา แล้ว ก็มีคนดิ้น 
นี้ตัวอย่าง




เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว ก่อน “เกียวโต” ห้าม! นักท่องเที่ยว เข้าตรอกส่วนตัวในเขตเกอิชา แต่นี้เป็นคลิปใหม่ เพิ่งโพส 

แล้วเรื่องนี้ ก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง นั่งท่องเทียวเต้นบนรถไฟในญีปุ่น แล้วที่ท่าทีคุกคามเด็กนักเรียนหญิง

จน มีเสียงด่า จากคนในชาติ และ ทำให้ต้องถอยป้ายนี้ออกมาติด


 แล้วแน่นอน โดนกลุ่ม Woke ด่า ประนาณ เช่น มันไม่ถูก มันน่าจะได้ หรือเป็นเสรีภาพ หรือนี้มันเหยียดสีผิว ทำไมต้องเป็นคนดำ 
คือ ไอ้ที่ก่อเรื่อง มันไม่ได้ผิดขาวอะสิ  ถ้าเปลี่ยน  จะกลายเป็นโกหกหรือใส่ความคนขาวไหม?

ในป้าย ผมหยิกผิวดำเสื้อเขียว นี้มัน ใช่เลย ชัดเลย ดูคลิป    นี้เมิงเลย ทำคนดำอับอาย

แล้วแปลกมาก คลิป ก่อนหน้า เหมือนคลิป นักท่องเทียว แย่ๆ คุกคาม เกอิชาหลายคลิป หายไปจากยูทูป หายไปจริงๆ  หรือ แค่ผมหาไม่เจอ  
แต่ผมลงคลิปนี้ ก็ไม่น่าจะหาย (แต่ถ้าหายละ? เดียวผมลงภาพ ไว้ด้านล่าง ด้วยแล้วกันครับ) เคสนี้ คนส่วนใหญ่บนโลก (ที่ผมเห็นนะ) เห็นด้วยกับญี่ปุ่นนะครับ  ซึ่ง มากกว่าเคสเกอิชา ที่เคสนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเคส ฝ่ายซ้าย ที่ออกมา เข้าข้าง สิทธิ์ ในการถ่ายรูปเกอิชา  ( ที่ผมเห็นนะ อาจจะไม่ใช้ความจริงสัมบูรณ์ )
แล้วยังมีอีกหลายคนนะ แล้วภาพี่ผมเห็น ก็เป็นดำ 
แล้วไอ้ป้ายห้ามข้างบน ที่โดนหาว่า เหยียดคนดำ ยังมีอีกหลายป้ายเช่น
 

ทีบอกว่าญีปุ่น เหยียดคนดำ เป็น พวกเหยียดเชื้อชาติ  สาเหตุจาก x เม้นนี้ที่เอามาเปรียบเทียบ  กับภาพ คนดำสามคนเต้นบนรถไฟญี่ปุ่น 


จากบทความนี้ เราจะเห็นว่า ฝ่ายซ้ายตะวันตก หรือ WOKE เดือดดาล กับที่ ญี่ปุ่น ทำเรื่องเหล่านี้ 
ห้ามผู้ชายเข้าตู้สติกเกอร์
ห้ามถ่ายรูปเกอิชาในพื้นที่ส่วนตัว
ป้ายเตือนพฤติกรรมบนรถไฟ

ต้องบอกว่าไม่มีใครผิดที่คิดต่าง หรือไม่ชอบ แต่การยัดเยียด ให้คนอื่นต้องทำตามในสิ่งที่ตนต้องการนี้ มันใช่หรือ?

จริงๆทั้งสองฝ่าย ถือว่าไม่มีใครผิดต่างคนต่างถูก แต่คุณ อยากอยู่ในสังคมแบบไหน แน่นนอน มันอยู่ที่ตัวคุณ คุณอาจจะ เป็นชายวัยกลางคน ที่หน้าตาเหมือนหลุดออกมาจากโดจิน ที่มีจิตใจขาวสะอาด อยากแค่ 
เข้าตู้สติกเกอร์ ไปถ่ายสติกเกอร์ คุณ มีความสุข แต่ เด็กนักเรียนหญิงละ เขาสุข ไหม? ลองถามใจตัวเองดู  จะเลือก สังคมแบบไหน? 


เอาละ ผมมาสรุป สั้นๆ ว่า มันเป็นเรื่องของสังคมญีปุ่น ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อปกป้องคนของเขาเอง 
คนต่างชาติ ควรไปกดดันให้เข้าเป็นเปลี่ยนกฎไหม? ถึงจะอ้าง  เสรีภาพ สิทธิส่วนบุคคล ฯลฯ ก็ทำให้ผมนึกถึงเคส ให้เพศชาย ทางกายภาพ เข้าห้องน้ำหญิงนั่นละ ฝ่ายที่เรียกตัวเอง ผู้ตื่นรู้ ผู้ตาสว่าง หรือ สั้นๆว่า WOKE  ก็มาเรียกร้อง กับเคสนี้ เหมือนกัน 
ปัญหาของเรื่องนี้ คือ เขาคิดว่าความคิดตนคือ ความถูกต้องสัมบูรณ์  ทั้งที่ มันเคยเกิดเคสแย่ๆ จากแนวคิดนี้มาแล้ว  เพราะ ใครๆก็เป็นผู้หญิงได้ แค่บอกดังว่าตนคือผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องแปลงเพศ หรือ แต่งหญิงด้วยซ้ำ เลยมีเคส นักโทษ ชาย ที่บอกว่า ตัวเอง ใจเป็นหญิงแต่ชอบผู้หญิง ขอไปอยู่คุกหญิง แล้วไปข่มขืนนักโทษสาวจนท้อง
แล้วระบบยุติธรรม เชื่อจริงจังว่าเป็นผู้หญิง จน ศาลสั่งให้ อัยการใช้สรรพนาม she/her

https://abc7chicago.com/post/pronoun-use-center-rape-case-involving-former-chowchilla-central-california-womens-facility-prisoner-tremaine-carroll/15696730/

 แล้ว ถ้ามีเป็นแค่เคสเดียว จะดีมาก แต่คิดว่าใช่ไหม? มีเคสเดียว? อย่างโพส JK ที่มีหน้าผู้ต้องหาหลายคนนะ ครับ และคนหนึ่ง แค่ก่อคดีเดียวครั้งเดียวจากช่องโหว่ ก็ยังดี แต่มันใช่หรือครับ? คุณอยากเปิด ให้มีช่องโหว่ เพื่อความสบายใจ และความสุข ความถูกต้องในมุมของคุณ คุณก็ว่าคุณถูก ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรแบบ ที่พวกคุณว่าประเทศญี่ปุ่นนะครับ  แต่ อยากให้มองว่าถ้าช่องโหว่ที่คุณคิดว่าดี ไปทำร้ายเด็กละ? ผมก็รู้ว่าที่ผ่านๆมา คุณบอก ว่า มันเป็นที่ตัวบุคคล อย่าเหมารวม แล้ว ลดการป้องกันภัยลง นั่นคือสังคมที่คุณเลือก แต่ประเทศญี่ปุ่นไม่เลือก ทำไม ไม่เคารพ ญี่ปุ่นหรือคนที่เห็นต่างบ้าง? ทำไมตะวันตก ต้องมายัดเยียด และอยากจะแก้กฎหมายญีปุ่น มันเพิ่มควมมสุขให้ใคร? ให้คนญี่ปุ่น ให้เด็กนักเรียน ให้เกอิชา ให้คนนั่งรถไฟ ให้นักท่องเทียว หรือเพื่อ อีโก้ ฝ่าย WOKE กันแน่ครับ? ที่ผมถามแค่นี้ ควรจะรับได้ หรือยอมรับคำถามได้นะครับ

แล้วแน่นอน ถ้าคุณกล่าวหา/โจมตี/เหมารวม ญี่ปุ่นได้ คนอื่นก็กล่าวหาคุณกลับได้เช่นกัน ถูกต้องไหมครับ? ลองคิดถึงความร้ายแรงของบทความนี้ต่อ woke กับ ความร้ายแรงของ Woke กับประเทศญี่ปุ่นประเด็นนี้ดูสิครับ ว่า อันไหนเบา อันไหนหนัก อันไหนหยาบคาย  แล้วคุณ เป็นคนแบบไหนครับ ? ผมแค่ถามฝ่ายซ้ายตะวันตก ที่พยายามยัดความถูกต้องของตัวเองให้ญี่ปุ่นเฉยๆ

คุณเลือกได้อยากให้ใครมีความสุขหรือเสียงภัย แต่ไม่มีทางที่จะทำให้ทุกคนมีความสุขได้ 

************************คลิกเพื่อดูภาพใหญ่ 

ตัวอย่าง คอมเม้นเกี่ยวกับป้ายห้าม เต้นบนรรถไฟ 

 น่าสนใจ






 

ลิงค์บทความนี้
*****
https://poipoi-test.blogspot.com/2025/09/blog-post_29.html
*****