Subway Surfing: คอนเทนต์ท้าความตาย คืออะไร? ทำไมวัยรุ่นถึงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อยอดไลก์
จากข่าวล่าสุด วัยรุ่นหญิงวัย 12 ปี ก็ต้องมาเสียชีวิตเพราะคอนเทนต์ท้าความตายอีกครั้ง เรามาย้อนดูกันว่าทำไมเด็กๆ และวัยรุ่นถึงยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อยอดไลก์?
![]() |
https://nypost.com/2025/10/07/us-news/12-year-old-girl-posted-terrifying-videos-before-nyc-subway-surfing-tragedy-does-whatever-she-wants/ |
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บนหน้าฟีดของโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok และ Instagram เราอาจเคยผ่านตาคลิปวิดีโอสุดหวาดเสียวของวัยรุ่น (ทีผมเห็นดู สุขภาพดี หน้าตาดี) ที่ปีนป่ายและวิ่งอยู่บนหลังคาของขบวนรถไฟใต้ดินที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ท่ามกลางเสียงลมและแสงไฟของเมืองใหญ่ การกระทำนี้มีชื่อเรียกว่า "Subway Surfing" ซึ่งเบื้องหลังภาพที่ดูเท่และท้าทายนั้น คือสถิติการเสียชีวิตและบาดเจ็บที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย
แล้ว Subway Surfing คืออะไรกันแน่ และอะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้วัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อยยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับคอนเทนต์เพียงไม่กี่วินาที?
Subway Surfing คืออะไร?
Subway Surfing คือการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตรายอย่างยิ่ง ในการปีนขึ้นไปอยู่บนส่วนด้านนอกของขบวนรถไฟที่กำลังวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นไปยืน วิ่ง หรือนอนบนหลังคา, การเกาะอยู่ด้านข้าง หรือการโหนตัวอยู่ระหว่างตู้โดยสาร
เป้าหมายของการกระทำนี้ไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่คือการ "สร้างคอนเทนต์" ผู้ทำมักจะถ่ายคลิปวิดีโอของตัวเองหรือให้เพื่อนถ่ายให้ เพื่อนำไปโพสต์ลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อแสดงความกล้าหาญ ท้าทาย และแน่นอนว่า...เพื่อแลกกับยอดไลก์ ยอดแชร์ และการเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์
ทำไม Subway Surfing ถึงฮิตในสหรัฐอเมริกา?
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบไม่มีที่มา แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ผลักดันให้เทรนด์เสี่ยงตายนี้แพร่หลาย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กซิตี้
1. อิทธิพลของโซเชียลมีเดียและวัฒนธรรมไวรัล นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่กระตุ้นอารมณ์และน่าตื่นตาตื่นใจ วิดีโอ Subway Surfing ที่ดูหวาดเสียวและท้าทายจึงมีโอกาสกลายเป็นไวรัลได้ง่าย วัยรุ่นที่ต้องการ "ชื่อเสียงในโลกออนไลน์" (Clout) มองว่านี่คือทางลัดในการสร้างตัวตนและได้รับการยอมรับ แม้ยอดไลก์นั้นจะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงก็ตาม
2. จิตวิทยาของวัยรุ่น: การแสวงหาความตื่นเต้นและแรงกดดันจากเพื่อน ธรรมชาติของวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ชอบความเสี่ยง และแสวงหาความตื่นเต้น (Thrill-Seeking) สมองส่วนหน้าสุดที่ควบคุมการตัดสินใจและยับยั้งชั่งใจยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้พวกเขาประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ แรงกดดันจากกลุ่มเพื่อนที่ทำกิจกรรมท้าทายเหมือนกัน ก็เป็นอีกแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าปฏิเสธ
3. ภูมิทัศน์ของเมืองใหญ่ที่เป็นใจ นิวยอร์กซิตี้มีระบบรถไฟใต้ดินที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้การเข้าถึงขบวนรถไฟเพื่อปีนป่ายทำได้ไม่ยากนัก ภาพของตึกระฟ้าและแสงสีของเมืองในตอนกลางคืนยังเป็นฉากหลังที่ "สวยงาม" และดึงดูดใจสำหรับการถ่ายทำคอนเทนต์อีกด้วย
ความจริงที่ไม่สวยงาม: ผลลัพธ์คือความตาย
เบื้องหลังคลิปวิดีโอที่ดูน่าตื่นเต้น คือความเป็นจริงอันน่าสลด การเล่น Subway Surfing มีความเสี่ยงที่จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมได้ทุกวินาที ไม่ว่าจะเป็น:
การชนกับสิ่งกีดขวาง: ศีรษะอาจกระแทกกับคานเหล็ก ป้ายสัญญาณ หรือเพดานอุโมงค์ ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ทันที
การพลัดตก: การสูญเสียการทรงตัวเพียงเสี้ยววินาทีหมายถึงการร่วงลงไปบนรางรถไฟและถูกทับ
ไฟฟ้าช็อต: จากสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่อยู่เหนือขบวนรถ
สถิติจากหน่วยงานขนส่งมวลชนนครนิวยอร์ก (MTA) ชี้ชัดว่ายอดผู้เสียชีวิตจาก Subway Surfing พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เทรนด์นี้กลับมาฮิตใน TikTok โดยในปี 2022 มีผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตรวมกัน 3 ปีก่อนหน้า
บทสรุป
Subway Surfing ไม่ใช่แค่แฟชั่นหรือเกมท้าทาย แต่มันคือภาพสะท้อนด้านมืดของวัฒนธรรมออนไลน์ ที่ "ยอดไลก์" และ "การยอมรับ" ถูกตีค่าสูงกว่าความปลอดภัยในชีวิต วัยรุ่นเหล่านี้ไม่ได้เสี่ยงชีวิตเพราะความคึกคะนองเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขากำลังไล่ตามการมองเห็น (Visibility) และการยอมรับจากสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผลักดันให้วงจรแห่งความเสี่ยงนี้ดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด
บทเรียนราคาแพงจากหลายชีวิตที่ต้องสูญเสีย ควรเป็นเครื่องเตือนใจว่า ไม่มีชื่อเสียงหรือกระแสไวรัลใดที่คุ้มค่าพอที่จะต้องเอาชีวิตเข้าแลก และที่สำคัญกว่านั้น คือการตระหนักว่า เราทุกคนในฐานะผู้เสพสื่อ ก็มีส่วนร่วมในการหยุดยั้งโศกนาฏกรรมนี้ได้
บทส่งท้าย: สิ่งที่เราทำได้ คือ "หยุดส่งต่อความอันตราย"
เมื่อคุณเลื่อนฟีดแล้วเจอคลิปวิดีโอท้าความตายในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น Subway Surfing หรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ พลังในการหยุดยั้งมันอยู่ในมือของคุณ
สิ่งที่เราทุกคนทำได้ คือการหยุดเป็นส่วนหนึ่งของวงจรนี้:
อย่ากดไลก์: การกดไลก์คือการส่งสัญญาณไปยังอัลกอริทึมว่า "คอนเทนต์แบบนี้น่าสนใจ" ซึ่งจะทำให้คลิปถูกเผยแพร่ไปในวงกว้างยิ่งขึ้น
อย่าแสดงความคิดเห็นในเชิงชื่นชม: คำชมอย่าง "เท่มาก" หรือ "กล้าสุดๆ" คือการเติมเชื้อไฟ และสร้างการยอมรับที่ผิดๆ ให้กับผู้กระทำ
และที่สำคัญที่สุด คือ "อย่าแชร์": การแชร์คือการส่งต่อความอันตรายโดยตรง ทำให้เด็กและเยาวชนคนอื่นๆ เห็นและอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้
แทนที่จะสนับสนุน เราสามารถกด "รายงาน (Report)" คลิปวิดีโอนั้นไปยังแพลตฟอร์มว่าเป็น "พฤติกรรมอันตราย" เพื่อให้ถูกลบออกไป
เพราะทุกการกดไลก์ ทุกการแชร์ อาจหมายถึงการเพิ่มความเสี่ยงให้ชีวิตของใครอีกคนหนึ่ง การหยุดส่งต่อคลิปเหล่านี้ คือการช่วยชีวิตและส่งสารที่ชัดเจนว่า สังคมของเราไม่สนับสนุนพฤติกรรมที่อันตรายเพื่อแลกกับยอดวิวเพียงชั่วข้ามคืน
ปล.แล้วเรื่องนี้ใครผิด?
ความคิดเห็นจากผู้อ่านข่าวนี้แตกออกเป็น 2 ประเด็นหลักที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือด คือ "เป็นความผิดของการเลี้ยงดู" และ "ไม่ใช่ความผิดของผู้ปกครองเสมอไป" โดยมีประเด็นเรื่องโซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญ
กลุ่มที่ 1: มองว่าเป็นความผิดของการเลี้ยงดูเป็นหลัก (Parenting is the Issue)
นี่เป็นความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ พวกเขามองว่าพฤติกรรมเสี่ยงตายของเด็กวัย 12 ปี ไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่เป็นผลมาจากการเลี้ยงดูที่ผิดพลาด
การปล่อยปละละเลย: ความเห็นอย่าง rex rexford และ E. White มองว่านี่คือปัญหาการเลี้ยงดู 100% เด็กถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวมากเกินไป ได้รับโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีการควบคุม จนเกิดการเสพติดโซเชียลมีเดีย
ขาดความเข้มงวดและวินัย: ผู้ใช้อย่าง KonaBlue และ Tattle Tale เปรียบเทียบกับวัยเด็กของตัวเองว่า พวกเขาคงจะ "กลัวพ่อแม่จะลงโทษ" มากกว่ากลัวอันตรายข้างนอกเสียอีก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเด็กในข่าวอาจไม่ได้รับการปลูกฝังความเคารพหรือความเกรงกลัวต่อผู้ปกครองเท่าที่ควร
กลุ่มที่ 2: มองว่าไม่ใช่ความผิดของผู้ปกครองเสมอไป (It's Not Always the Parents' Fault)
กลุ่มนี้ออกมาโต้แย้งว่า การโทษพ่อแม่เพียงฝ่ายเดียวนั้นไม่ยุติธรรม เพราะการเลี้ยงลูกในยุคนี้มีความซับซ้อน
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ: ความเห็นจาก Lioness ชี้ว่า วัยรุ่นมีธรรมชาติที่อยากรู้อยากลอง การที่พ่อแม่พยายามห้ามหรือควบคุมมากเกินไป อาจยิ่งผลักดันให้พวกเขาอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้น
สุดท้ายคือการตัดสินใจของเด็กเอง: ผู้ใช้ susiesox38 เล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เติบโตมาอย่างยากลำบากและมีผู้ปกครองดูแลไม่เต็มที่ แต่เธอกับน้องก็เลือกที่จะไม่ทำตัวเสี่ยงภัย เธอมองว่าสุดท้ายแล้ว "บุคลิกและตัวตนที่แท้จริง" ของเด็กแต่ละคนคือปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ
ประเด็นเสริม: การเสพติดโซเชียลมีเดีย และการกระทำของตัวเด็กเอง
หลายความเห็น (เช่น KonaBlue) ชี้ว่าโศกนาฏกรรมนี้เป็นสิ่งที่ "เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง" (Self-inflicted) โดยมีแรงจูงใจหลักคือการต้องการ "ยอดไลก์" และการยอมรับในโลกออนไลน์ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการเสพติดโซเชียลมีเดียในกลุ่มเยาวชนปัจจุบัน
อ้างอิง
https://www.nbcnewyork.com/news/local/queens-subway-surfing-teen-death/6326115/
https://www.nbcnewyork.com/new-york-city/nyc-subway-surfing-drones/5943611/
https://nypost.com/2025/10/07/us-news/12-year-old-girl-posted-terrifying-videos-before-nyc-subway-surfing-tragedy-does-whatever-she-wants/
https://abc7ny.com/post/nyc-subway-surfing-15-year-old-boy-killed-falling-off-no-7-train-pulling-queensboro-plaza-station-queens/16954962/
https://www.youtube.com/watch?v=ktJ_uTagpyw