วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2567

การเปลี่ยนแปลงของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยหลังการปิดตัวของ JD Central และ Weloveshopping และการเข้ามาของ TikTok Shop และ Temu

 


การปิดตัวของ JD Central และ Weloveshopping ในปีที่แล้ว (พ.ศ. 2566 ) ทำให้ภาพรวมของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเปลี่ยนแปลงไป  โดยเหลือเพียง Lazada และ Shopee เป็นผู้เล่นรายใหญ่สองรายที่ครองตลาด และการเข้ามาของ TikTok Shop และ Temu

 หลังจากที่ JD Central และ Weloveshopping ตัดสินใจถอนตัวออกจากตลาดอีคอมเมิร์ซไทยในปี 2566 ทำให้ Lazada และ Shopee กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์กลับมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้นเมื่อแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok และแอปพลิเคชันช้อปปิ้งข้ามพรมแดนอย่าง Temu เข้ามาแข่งขันในตลาดไทย

 

 

JD Central ปิดในวันที่ 3 มี.ค. 2566 

Weloveshopping ปิดไปตอนปี 30 มิถุนายน 2566

ตอนนี้ เหลือ คู่แข่งหลัก 2เจ้าคือ Lazada และ  Shoppee

เหมือนช่วงแรก ลาซาด้า กินส่วนแบ่งเยอะกว่า 

แต่ตอนนี้ ช็อปปี้ กำไรมากกกว่า 

เอาละสำหรับผู้บริโภค ที่อยากให้มีการแข่งขัน ไม่อยากให้มีเจ้าเดียวผูกขาดต้องทำยังไง?
ตอบโดย poipoi
อย่าให้เจ้าที่ด้อยกว่าเจ๊ง อุดหนุน เจ้าที่เป็นมวยรองบ้าง มวยรองตอนนี้ อาจจะเป็นเจ้าเล็กๆที่ไม่ใช่ ทั้งลาซาด้าหรือช็อบปี้ ก็ได้

ตอบโดย Gimini

ผู้บริโภคควรทำอย่างไรเพื่อให้มีการแข่งขัน

  1. เปรียบเทียบราคาและคุณภาพสินค้า: ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า ควรเปรียบเทียบราคาและคุณภาพจากหลายๆ แพลตฟอร์ม รวมถึงร้านค้าออนไลน์อื่นๆ ที่อาจมีราคาที่น่าสนใจกว่า
  2. ใช้บริการเปรียบเทียบราคา: มีเว็บไซต์และแอปพลิเคชันหลายตัวที่ช่วยเปรียบเทียบราคาสินค้าจากหลากหลายร้านค้า
  3. สนับสนุนร้านค้าเล็กและผู้ประกอบการรายย่อย: การซื้อสินค้าจากร้านค้าเล็กหรือผู้ประกอบการรายย่อยผ่านช่องทางออนไลน์จะช่วยกระจายอำนาจทางการตลาด และสร้างความหลากหลายให้กับตลาด
  4. ให้ความสำคัญกับรีวิวจากผู้บริโภคคนอื่น: การอ่านรีวิวจากผู้ที่เคยซื้อสินค้าจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ถูกต้องมากขึ้น
  5. แจ้งปัญหาและข้อเสนอแนะไปยังแพลตฟอร์ม: หากพบปัญหาในการใช้งานหรือไม่พอใจกับบริการ ควรแจ้งไปยังแพลตฟอร์มเพื่อให้มีการปรับปรุง
  6. แบ่งปันประสบการณ์การใช้งาน: การบอกต่อประสบการณ์การใช้งานของคุณให้กับคนอื่นๆ จะช่วยให้ผู้บริโภคคนอื่นๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และอาจส่งผลให้แพลตฟอร์มต่างๆ ตระหนักถึงความสำคัญของผู้บริโภคมากขึ้น
  7. สนับสนุนให้มีการแข่งขันในตลาด: ผู้บริโภคสามารถเข้าร่วมกิจกรรมหรือแคมเปญที่ส่งเสริมการแข่งขันในตลาด เช่น การลงชื่อในแคมเปญเรียกร้องให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม
  8. พิจารณาใช้บริการตลาดกลางอื่นๆ: หากมีตลาดกลางอื่นๆ เกิดขึ้นมา ควรลองใช้บริการเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มตัวเลือกให้กับตัวเอง

สิ่งที่ภาครัฐควรทำ

  • ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม: ภาครัฐควรมีกฎหมายและมาตรการที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดอีคอมเมิร์ซ
  • ปกป้องสิทธิของผู้บริโภค: ภาครัฐควรมีหน่วยงานที่ดูแลและปกป้องสิทธิของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์
  • สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย: ภาครัฐควรมีนโยบายที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงเทคโนโลยีและช่องทางการขายออนไลน์

สรุป

แม้ว่าปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยจะมีผู้เล่นรายใหญ่เพียงสองราย แต่ผู้บริโภคยังมีอำนาจในการเลือกและตัดสินใจ ซึ่งจะช่วยให้ตลาดมีความหลากหลายและมีการแข่งขันมากขึ้น การที่ผู้บริโภคตระหนักถึงสิทธิของตนเองและร่วมมือกันสร้างแรงกดดัน จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น