** รายงานนี้จัดทำโดย Gemini pro รายงานสู่ poipoi เพื่อสนองความอยากรู้ของ poipoi **
เศรษฐศาสตร์ที่ล้มเหลว: บทวิเคราะห์ความล้มเหลวของทฤษฎีมาร์กซิสต์จากครัวเรือนสู่รัฐ
บทนำ: ความขัดแย้งในตัวตนของคาร์ล มาร์กซ์
บทวิเคราะห์นี้จะนำเสนอข้อโต้แย้งว่า ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของระบอบคอมมิวนิสต์ในทางปฏิบัติไม่ได้เป็นเพียงผลมาจากการนำไปใช้ที่ผิดพลาด แต่มีรากฐานมาจากข้อบกพร่องเชิงทฤษฎีที่สำคัญ นั่นคือการเพิกเฉยต่อหลักการคำนวณทางเศรษฐศาสตร์และแรงจูงใจของมนุษย์ ที่สำคัญไปกว่านั้น ความบกพร่องทางทฤษฎีนี้สะท้อนและอาจมีต้นกำเนิดมาจากความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงและตลอดชีวิตของคาร์ล มาร์กซ์ ผู้เป็นบิดาแห่งทฤษฎีนี้ ในการจัดการเศรษฐกิจในครัวเรือนของตนเอง ($oikonomia$) ความวุ่นวายทางการเงินส่วนตัวของเขากลายเป็นภาพจำลองขนาดเล็กของความโกลาหลในระดับมหภาคที่ทฤษฎีของเขาจะปลดปล่อยออกมาสู่โลกในเวลาต่อมา
การวิเคราะห์จะเริ่มต้นด้วยการสรุปคำมั่นสัญญายูโทเปียของทฤษฎีมาร์กซิสต์ จากนั้นจะนำเสนอภาพความจริงทางประวัติศาสตร์อันน่าหดหู่ของรัฐคอมมิวนิสต์ในศตวรรษที่ 20 เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน หลังจากนั้น บทวิเคราะห์จะชำแหละข้อบกพร่องทางทฤษฎีที่เป็นไปไม่ได้ของการวางแผนจากส่วนกลาง และสุดท้ายจะเชื่อมโยงการวิเคราะห์ทั้งหมดเข้ากับชีวประวัติของมาร์กซ์เอง โดยใช้แนวคิดคลาสสิกเรื่อง oikonomia เพื่อสร้างความเชื่อมโยงที่หนักแน่นระหว่างความล้มเหลวทางเศรษฐกิจส่วนตัวของเขากับความล้มเหลวเชิงระบบของอุดมการณ์ที่เขาสร้างขึ้น
ส่วนที่ 1: พิมพ์เขียวของมาร์กซ์สำหรับโลกใบใหม่
เพื่อที่จะวิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของทฤษฎีมาร์กซิสต์ได้อย่างสมบูรณ์ การทำความเข้าใจแก่นแท้และคำมั่นสัญญาของทฤษฎีนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น อุดมการณ์ของมาร์กซ์ไม่ได้มีพลังเพียงเพราะการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังมาจากพลังในการเล่าเรื่องที่ทรงพลัง ซึ่งนำเสนอภาพของโลกที่เต็มไปด้วยการกดขี่ และชี้ทางไปสู่การปลดแอกและสังคมในอุดมคติ
1.1 การวิพากษ์ทุนนิยม: ความแปลกแยกและการขูดรีด
หัวใจของความคิดมาร์กซิสต์คือการวิพากษ์ระบบทุนนิยมอย่างรุนแรง มาร์กซ์มองว่าทุนนิยมสร้างสภาวะ "ความแปลกแยก" ($Entfremdung$) ใน 4 มิติ กล่าวคือ กรรมกรแปลกแยกจากผลผลิตของแรงงานตนเอง (ซึ่งนายทุนเป็นเจ้าของ), แปลกแยกจากกระบวนการผลิต (ที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้), แปลกแยกจากธรรมชาติความเป็นมนุษย์ ($Gattungswesen$) (ซึ่งควรจะได้แสดงออกผ่านการทำงานที่สร้างสรรค์) และท้ายที่สุด แปลกแยกจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งในตลาดแรงงาน 1
ยิ่งไปกว่านั้น มาร์กซ์ได้เสนอ "ทฤษฎีมูลค่าส่วนเกิน" ($Mehrwert$) ซึ่งระบุว่ากำไรของนายทุนไม่ได้เกิดจากการลงทุนหรือนวัตกรรม แต่มาจากการขูดรีดแรงงานของกรรมกร กล่าวคือ มูลค่าที่กรรมกรสร้างขึ้นนั้นมากกว่าค่าจ้างที่พวกเขาได้รับ ส่วนต่างนี้คือ "มูลค่าส่วนเกิน" ที่ชนชั้นนายทุน (Bourgeoisie) ผู้ครอบครองปัจจัยการผลิต (Means of Production) ฉกฉวยไป 2 สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งทางชนชั้นที่เป็นปฏิปักษ์โดยเนื้อแท้ระหว่างชนชั้นกรรมาชีพ (Proletariat) และชนชั้นนายทุน นอกจากนี้ มาร์กซ์ยังเชื่อว่าระบบทุนนิยมมีความเปราะบางและไม่ยั่งยืนโดยธรรมชาติ มีแนวโน้มที่จะเกิดวิกฤตการณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมีแนวโน้มที่อัตรากำไรจะลดลง ซึ่งบีบให้นายทุนต้องเพิ่มการขูดรีดให้เข้มข้นขึ้น 1
1.2 กลไกแห่งประวัติศาสตร์: วัตถุนิยมประวัติศาสตร์และการต่อสู้ทางชนชั้น
มาร์กซ์เสนอแนวคิด "วัตถุนิยมประวัติศาสตร์" (Historical Materialism) ซึ่งเป็นกรอบการวิเคราะห์ที่มองว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจ หรือ "โครงสร้างพื้นฐาน" (Economic Base) อันได้แก่วิธีการผลิต เป็นตัวกำหนด "โครงสร้างส่วนบน" (Superstructure) ทั้งหมดของสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเมือง วัฒนธรรม ศาสนา หรือกฎหมาย 2 สถาบันเหล่านี้ในทัศนะของมาร์กซ์ ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองในการสร้างความชอบธรรมให้กับการกดขี่และสร้าง "จิตสำนึกที่ผิดพลาด" (False Consciousness) ให้กับชนชั้นกรรมาชีพ ทำให้พวกเขายอมรับสภาพของตนโดยไม่ลุกขึ้นต่อสู้ 2
ประวัติศาสตร์มนุษย์ในมุมมองของมาร์กซ์คือประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ทางชนชั้นที่ขับเคลื่อนด้วยวิภาษวิธี (Dialectic) สังคมจะพัฒนาผ่านขั้นตอนต่างๆ 5 ขั้น ได้แก่ สังคมคอมมิวนิสต์บุพกาล, สังคมทาส, สังคมศักดินา, สังคมทุนนิยม และท้ายที่สุดคือสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์ 7 ในแต่ละช่วงชั้นทางประวัติศาสตร์ จะมีความขัดแย้งระหว่างชนชั้นผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่ เช่น นายทาสกับทาส, เจ้าศักดินากับไพร่, และนายทุนกับกรรมาชีพ 7 การเปลี่ยนแปลงจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่งจะเกิดขึ้นผ่านการปฏิวัติที่รุนแรง เมื่อชนชั้นใหม่ที่ก้าวหน้ากว่าโค่นล้มชนชั้นปกครองเดิมและสถาปนาวิธีการผลิตแบบใหม่ขึ้นมา 4
1.3 ยูโทเปียคอมมิวนิสต์: จุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์
เป้าหมายสูงสุดของมาร์กซ์คือการสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นสังคมอุดมคติอันเป็นจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางชนชั้น แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ จะต้องผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านที่เรียกว่า "เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ" (Dictatorship of the Proletariat) ซึ่งเป็นระยะที่ชนชั้นกรรมาชีพที่ปฏิวัติสำเร็จแล้วจะยึดอำนาจรัฐและใช้กลไกรัฐในการปราบปรามการต่อต้านของชนชั้นนายทุนและรื้อถอนโครงสร้างของระบบทุนนิยม 9
ภารกิจสำคัญที่สุดในระยะนี้คือ การยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในปัจจัยการผลิต โดยเปลี่ยนให้เป็นทรัพย์สินส่วนรวมของสังคม 1 เมื่อการแบ่งแยกชนชั้นหมดสิ้นไป รัฐซึ่งเป็นเครื่องมือของการกดขี่ทางชนชั้นก็จะ "เหี่ยวเฉาไป" (wither away) ในที่สุด สังคมจะเข้าสู่ขั้นสูงสุดของคอมมิวนิสต์: สังคมที่ไร้ชนชั้น ไร้รัฐ ไร้การขูดรีด ที่ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพอย่างแท้จริง และผลผลิตจะถูกแจกจ่ายตามหลักการที่ว่า "จากทุกคนตามความสามารถ ให้ทุกคนตามความต้องการ" 1
พลังที่ยั่งยืนของทฤษฎีมาร์กซิสต์ไม่ได้อยู่ที่ความถูกต้องทางเศรษฐศาสตร์ แต่อยู่ที่การนำเสนอเรื่องเล่าที่ทรงพลังและมีลักษณะกึ่งศาสนา มันให้คำอธิบายที่ครอบคลุมทุกมิติของโลก ระบุศัตรูที่ชัดเจน (นายทุน), ผู้ปลดแอกผู้เป็นวีรบุรุษ (กรรมาชีพ), และสวรรค์บนดินที่รออยู่เบื้องหน้า (สังคมคอมมิวนิสต์) เรื่องเล่านี้มีโครงสร้างคล้ายกับตำนานการไถ่บาป: สภาวะตกต่ำ (ทุนนิยม), ชนชาติที่ถูกเลือก (กรรมาชีพ), การต่อสู้กับความชั่วร้าย (สงครามชนชั้น), และความรอดพ้นในท้ายที่สุด (ยูโทเปียคอมมิวนิสต์) 2 การใช้ภาษาที่ปลุกเร้าอารมณ์ เช่น "โซ่ตรวน" ที่ต้องสลัดทิ้ง และ "โลกทั้งใบ" ที่ต้องไขว่คว้ามา 10 ได้เข้าถึงความปรารถนาอันลึกซึ้งของมนุษย์ในเรื่องความยุติธรรม ความเท่าเทียม และความหมายของชีวิต ด้วยเหตุนี้ อุดมการณ์นี้จึงยังคงอยู่ได้แม้จะมีหลักฐานความล้มเหลวทางประวัติศาสตร์มานานนับศตวรรษ เพราะมันเรียกร้องต่อศรัทธาในอนาคตอันชอบธรรม มากกว่าการพิจารณาหลักฐานจากอดีตอันน่าเศร้า
ส่วนที่ 2: บทพิพากษาทางประวัติศาสตร์: จากทฤษฎีสู่โศกนาฏกรรม
แม้คำมั่นสัญญาของมาร์กซ์จะงดงามเพียงใด แต่เมื่อทฤษฎีของเขาถูกนำมาปฏิบัติจริงในศตวรรษที่ 20 ผลลัพธ์กลับกลายเป็นฝันร้ายที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ประวัติศาสตร์ได้บันทึกความล้มเหลวและความโหดร้ายของระบอบคอมมิวนิสต์ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์เชิงประจักษ์ถึงข้อบกพร่องที่ฝังลึกอยู่ในตัวอุดมการณ์
2.1 การทดลองของโซเวียต: ความซบเซาและการล่มสลาย (1917-1991)
สหภาพโซเวียตคือการทดลองใช้ลัทธิมาร์กซ์-เลนินในระดับชาติครั้งแรกของโลก ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลาง (Command Economy) ถูกนำมาใช้ โดยมีองค์กรอย่าง Gosplan เป็นผู้กำหนดการผลิต การตั้งราคา และการจัดสรรทรัพยากรทั้งหมด แทนที่จะเป็นกลไกตลาด 11 แม้ในช่วงแรกจะมีการเติบโตทางอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว แต่ในระยะยาว ระบบนี้กลับพิสูจน์แล้วว่าไร้ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมและปรับตัวเข้ากับความซับซ้อนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะซบเซาอย่างยาวนานตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา ซึ่งมีลักษณะเด่นคือการขาดแคลนสินค้าอย่างเรื้อรัง ความไร้ประสิทธิภาพ และการสูญเสียทรัพยากรอย่างมหาศาล 11 อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) ลดลงอย่างมาก จากกว่า 5% ในช่วงทศวรรษ 1950-1960 เหลือเพียง 2.6% ในช่วงปี 1975-1980 11
ในที่สุด นโยบายปฏิรูปของมิคาอิล กอร์บาชอฟ (perestroika และ glasnost) ซึ่งมุ่งหวังจะฟื้นฟูระบบ กลับกลายเป็นการเปิดโปงจุดอ่อนที่ร้ายแรงและเร่งการล่มสลายให้เร็วขึ้น การขาดสัญญาณราคา (price signals) ประกอบกับการเปิดเสรีทางการเมือง นำไปสู่ความโกลาหลทางเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง และการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 11
2.2 หายนะในจีน: ความอดอยากและความบ้าคลั่ง (1949-1976)
ภายใต้การนำของเหมา เจ๋อตง พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำการทดลองทางสังคมที่นำไปสู่หายนะครั้งใหญ่ 2 ครั้ง
นโยบายก้าวกระโดดไกล (1958-1962): เป็นความพยายามอย่างสุดโต่งในการบังคับให้เกิดการเกษตรแบบรวมหมู่และเร่งรัดการพัฒนาอุตสาหกรรมในชนบท นโยบายที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เช่น การสร้างเตาถลุงเหล็กหลังบ้าน และการยกเลิกที่ดินทำกินส่วนตัว ประกอบกับการโกหกอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลผลิตธัญพืช ได้นำไปสู่ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในจีน (Great Chinese Famine) โดยตรง 17 ประมาณการผู้เสียชีวิตจากความอดอยากมีตั้งแต่ 23 ล้านคนไปจนถึง 55 ล้านคน ทำให้เป็นทุพภิกขภัยที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ 17
การปฏิวัติวัฒนธรรม (1966-1976): เป็นการรณรงค์ของเหมาเพื่อกำจัด "แนวคิดชนชั้นนายทุน" และ "ผู้ต่อต้านการปฏิวัติ" ผลลัพธ์คือความล่มสลายของสังคม การทำลายมรดกทางวัฒนธรรม การประจานและสังหารผู้คนนับล้าน โดยเฉพาะปัญญาชนและเจ้าหน้าที่พรรคที่ไม่เห็นด้วย มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1 ถึง 2 ล้านคน 21 เศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงักงัน เนื่องจากการต่อสู้ทางการเมืองเข้ามาแทนที่การพัฒนา 21
2.3 ทุ่งสังหารแห่งกัมพูชา (1975-1979)
ระบอบเขมรแดงภายใต้การนำของพล พต คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการนำอุดมการณ์มาร์กซิสต์-เหมาอิสต์ไปใช้อย่างบริสุทธิ์และสุดโต่งที่สุด พวกเขาประกาศ "ปีศูนย์" (Year Zero) และบังคับอพยพผู้คนจากเมืองสู่ชนบทเพื่อสร้างสังคมเกษตรกรรมที่ไร้ชนชั้นอย่างสมบูรณ์ 27 ระบอบนี้ได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายคือปัญญาชน (ใครก็ตามที่ได้รับการศึกษา หรือแม้แต่สวมแว่นตา), ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ (เช่น ชาวจามมุสลิม) และผู้นำศาสนา 27 โครงการวิศวกรรมทางสังคมนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากการประหารชีวิต ความอดอยาก และการบังคับใช้แรงงานราว 1.5 ถึง 3 ล้านคน หรือเกือบหนึ่งในสี่ของประชากรกัมพูชาทั้งหมด 27
2.4 การกลับลำครั้งใหญ่: การปฏิรูปสู่ตลาดในฐานะการยอมจำนนทางอุดมการณ์
ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลาง บีบให้รัฐคอมมิวนิสต์ที่ยังคงอยู่ต้องยอมละทิ้งหลักการสำคัญของมาร์กซ์เพื่อความอยู่รอด
"สังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน" สู่ทุนนิยมโดยรัฐ: หลังปี 1978 ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของจีนเกิดขึ้นได้จากการรื้อถอนหลักการสำคัญของลัทธิเหมาอย่างเป็นระบบ: การนำระบบเกษตรกรรมส่วนบุคคลกลับมาใช้ (Household Responsibility System), การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zones) เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ และการเปิดประเทศสู่การค้าโลก 30 การเปลี่ยนแปลงนี้คือการละทิ้งเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางอย่างชัดเจน และนำไปสู่สิ่งที่หลายคนวิเคราะห์ว่าเป็น ระบบทุนนิยมอย่างสุดขั้ว (ทุนนิยมจัดๆ) ที่ชี้นำโดยรัฐและปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์พรรคเดียว ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ขัดแย้งกับหลักการมาร์กซิสต์ดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง
โด๋ยเม้ย ของเวียดนาม: ในทำนองเดียวกัน นโยบาย โด๋ยเม้ย ("การปฏิรูป") ของเวียดนามตั้งแต่ปี 1986 ได้เปลี่ยนประเทศจากเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางไปสู่ "เศรษฐกิจตลาดตามแนวทางสังคมนิยม" (Socialist-oriented market economy) โดยอนุญาตให้มีวิสาหกิจเอกชนและบูรณาการเข้ากับตลาดโลก 34
ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์โดยตรงที่น่าสะพรึงกลัว: ยิ่งระบอบคอมมิวนิสต์มีความเคร่งครัดทางอุดมการณ์มากเท่าใด ขนาดของหายนะที่เกิดกับมนุษย์ก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น การทดลองที่ "บริสุทธิ์" ที่สุด เช่น นโยบายก้าวกระโดดไกลของเหมา และระบอบเขมรแดงของพล พต ซึ่งพยายามจะบรรลุสังคมคอมมิวนิสต์ในอุดมคติอย่างรวดเร็วที่สุด กลับนำไปสู่จำนวนผู้เสียชีวิตที่สูงที่สุดอย่างน่าตกใจ 18 ในทางตรงกันข้าม รัฐที่สามารถอยู่รอดและเจริญรุ่งเรืองได้ (จีนหลังปี 1978, เวียดนามหลังปี 1986) คือรัฐที่ยอมละทิ้งความบริสุทธิ์ทางอุดมการณ์อย่างชัดเจน และหันไปพึ่งพากลไกตลาด 30 หลักฐานทางประวัติศาสตร์จึงชี้ชัดว่า ทฤษฎีนี้ไม่เพียงแต่มีข้อบกพร่อง แต่ยังเป็นอันตรายถึงชีวิตเมื่อนำไปปฏิบัติในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด
ระบอบ / เหตุการณ์
ช่วงเวลา
ประมาณการผู้เสียชีวิต
สหภาพโซเวียต (การกวาดล้าง, ความอดอยาก, กูลาก)
1917-1953
20 ล้านคนขึ้นไป
จีน: นโยบายก้าวกระโดดไกล
1958-1962
23 - 55 ล้านคน 17
จีน: การปฏิวัติวัฒนธรรม
1966-1976
1 - 2 ล้านคน 21
กัมพูชา: การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเขมรแดง
1975-1979
1.5 - 3 ล้านคน 27
ส่วนที่ 3: ความเป็นไปไม่ได้ของการวางแผน: ข้อบกพร่องทางทฤษฎีในกลไก
หายนะทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในรัฐคอมมิวนิสต์ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ที่คาดการณ์ได้จากข้อบกพร่องพื้นฐานในการออกแบบระบบเศรษฐกิจ การวิเคราะห์เชิงทฤษฎี โดยเฉพาะจากสำนักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน ได้ชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ของการวางแผนจากส่วนกลางอย่างมีเหตุผลมานานแล้ว
3.1 ปัญหาการคำนวณทางเศรษฐศาสตร์: บทวิพากษ์พื้นฐานของมีเซสและฮาเย็ค
ลุดวิก ฟอน มีเซส (Ludwig von Mises) ได้เสนอข้อโต้แย้งที่ทรงพลังที่สุดข้อหนึ่งต่อระบบสังคมนิยม นั่นคือ "ปัญหาการคำนวณทางเศรษฐศาสตร์" (Economic Calculation Problem) เขายืนยันว่าหากไม่มีกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในปัจจัยการผลิต ก็จะไม่มีตลาดสำหรับสินค้าทุน (เครื่องจักร, โรงงาน, วัตถุดิบ) อย่างแท้จริง และเมื่อไม่มีตลาด ก็จะไม่มี "ราคา" เกิดขึ้น 37
หากปราศจากราคา ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยวัดมูลค่าร่วมกัน ผู้วางแผนจากส่วนกลางจะไม่สามารถทำการคำนวณทางเศรษฐศาสตร์ได้เลย พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลว่าควรสร้างทางรถไฟด้วยเหล็กหรือทองคำขาว หรือควรผลิตไฟฟ้าด้วยวิธีใดจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะไม่สามารถเปรียบเทียบต้นทุนของสินค้าและบริการที่แตกต่างกัน (heterogeneous) ได้ 38 ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่ใช่แค่ความไร้ประสิทธิภาพ แต่คือ "การงมหาทางในความมืด" 41 ซึ่งรับประกันได้ว่าจะนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรที่ขาดแคลนอย่างผิดพลาดมหาศาล
3.2 ปัญหาความรู้และปัญหาแรงจูงใจ
ฟรีดริช ฮาเย็ค (F.A. Hayek) ได้ขยายบทวิพากษ์ของมีเซสออกไป โดยชี้ให้เห็นถึง "ปัญหาความรู้" (Knowledge Problem) เขายืนยันว่าข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการวางแผนเศรษฐกิจไม่ได้รวมศูนย์อยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่ผู้คนนับล้านในรูปแบบของ "ความรู้เฉพาะกาลและสถานที่" (knowledge of time and place) ไม่มีหน่วยงานกลางใดที่จะสามารถรวบรวมและประมวลผลข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและส่วนใหญ่เป็นความรู้โดยนัย (tacit knowledge) นี้ได้ 38 ในระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ราคาทำหน้าที่เป็นระบบสื่อสารอันน่าทึ่งที่ย่อข้อมูลอันซับซ้อนมหาศาลนี้ให้เหลือเพียงสัญญาณเดียวที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้ 38
นอกจากนี้ เศรษฐกิจแบบวางแผนยังสร้าง "ปัญหาแรงจูงใจ" (Incentive Problem) ที่บิดเบี้ยว เมื่อผู้จัดการโรงงานได้รับรางวัลเพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายการผลิตเชิงปริมาณที่กำหนดโดยผู้วางแผน พวกเขาก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะสร้างนวัตกรรม ปรับปรุงคุณภาพ หรือตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค สิ่งนี้นำไปสู่การผลิตสินค้าที่ด้อยคุณภาพหรือไม่มีใครต้องการ 43 ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแรงจูงใจที่จะโกหกผู้วางแผนเกี่ยวกับกำลังการผลิตของตนเพื่อให้ได้โควตาที่ง่ายขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้การวางแผนผิดพลาดมากขึ้นไปอีก
3.3 ห้องทดลองแห่งความล้มเหลวที่ยังมีชีวิต: เกาหลีเหนือและคิวบา
ปัจจุบัน เกาหลีเหนือและคิวบายังคงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความล้มเหลวที่เกิดจากข้อบกพร่องทางทฤษฎีเหล่านี้
เกาหลีเหนือ: ในฐานะรัฐที่มีการวางแผนจากส่วนกลางและโดดเดี่ยวตัวเองเกือบสมบูรณ์ เกาหลีเหนือต้องเผชิญกับปัญหานานัปการ ไม่ว่าจะเป็นความซบเซาทางอุตสาหกรรม, การขาดแคลนอาหารและทุพภิกขภัยเรื้อรัง, การทุ่มทรัพยากรอย่างมหาศาลให้กับกองทัพและอาวุธนิวเคลียร์ แทนที่จะเป็นการลงทุนเพื่อพลเรือน และการขาดเสรีภาพทางเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง 45 ความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมตลาดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น มีแต่จะทำให้วิกฤตเลวร้ายลง 47
คิวบา: เศรษฐกิจของคิวบาต้องดิ้นรนอย่างหนักนับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลัก รูปแบบเศรษฐกิจแบบโซเวียตที่คิวบายึดถือมาตลอดได้พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลว นำไปสู่ผลิตภาพที่ต่ำ, ภาวะเงินเฟ้อระดับสามหลัก, การขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างรุนแรง และการอพยพออกนอกประเทศของประชากรวัยหนุ่มสาวและผู้มีทักษะจำนวนมาก 50
ความล้มเหลวทางเศรษฐกิจของการวางแผนจากส่วนกลางไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางเทคนิค แต่ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับการปกครองแบบเผด็จการอย่างแยกไม่ออก เนื่องจากระบบไม่สามารถทำงานผ่านความร่วมมือโดยสมัครใจ (ผ่านกลไกราคา) ได้ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาการบีบบังคับและการปิดกั้นข้อมูลเพื่อที่จะดำรงอยู่ได้ เมื่อปราศจากกลไกราคาที่มีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร เครื่องมือเดียวที่รัฐเหลืออยู่คือ "คำสั่ง" เศรษฐกิจจึงต้องถูก "ชี้นำ" ด้วยกำลัง 38 เพื่อรักษาการควบคุมนี้ รัฐต้องขัดขวางไม่ให้ปัจเจกบุคคลดำเนินการตามความรู้หรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเอง ซึ่งจะไปรบกวนแผนจากส่วนกลาง สิ่งนี้เรียกร้องให้ต้องมีการปราบปรามเสรีภาพทางเศรษฐกิจ 49 นอกจากนี้ เนื่องจากระบบนี้ไร้ประสิทธิภาพโดยเนื้อแท้และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ย่ำแย่ (การขาดแคลน, คุณภาพต่ำ) ความไม่พอใจของประชาชนจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อรักษาระบบและอำนาจของพรรคปกครอง ความไม่พอใจนี้จึงต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก ซึ่งจำเป็นต้องมีการทำลายเสรีภาพทางการเมืองและข้อมูลข่าวสาร 48 ด้วยเหตุนี้ ตรรกะทางเศรษฐกิจของการวางแผนจากส่วนกลางจึงนำไปสู่ตรรกะทางการเมืองของระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จโดยตรง การไม่มีอยู่ของเสรีภาพทางเศรษฐกิจย่อมนำไปสู่การทำลายเสรีภาพอื่น ๆ ทั้งหมด
ส่วนที่ 4: สถาปนิกผู้บกพร่อง: Oikonomia ส่วนตัวของคาร์ล มาร์กซ์
การวิเคราะห์ในส่วนสุดท้ายนี้จะเชื่อมโยงความล้มเหลวระดับมหภาคทั้งในทางทฤษฎีและประวัติศาสตร์ เข้ากับชีวิตส่วนตัวระดับจุลภาคของมาร์กซ์เอง โดยใช้แนวคิดเรื่อง oikonomia เป็นสะพานเชื่อมเพื่อแสดงให้เห็นว่าความไร้ความสามารถทางเศรษฐกิจส่วนตัวของมาร์กซ์เป็นแว่นขยายที่สำคัญและมักถูกมองข้ามในการทำความเข้าใจข้อบกพร่องในวิสัยทัศน์ระดับโลกของเขา
4.1 ชีวิตที่พึ่งพิงและหนี้สิน
ชีวประวัติทางการเงินของมาร์กซ์เต็มไปด้วยความยากจนข้นแค้นและความไม่มั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เขาและครอบครัวอาศัยอยู่ในลอนดอน 54 ความยากจนนี้ไม่ได้เป็นเพียงความทุกข์ยากอันสูงส่งของนักปฏิวัติ แต่เป็นผลโดยตรงจากการที่เขาไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะหางานที่มั่นคงทำได้ ประวัติการทำงานของเขาประกอบด้วยการเป็นนักข่าวและบรรณาธิการในช่วงสั้นๆ ให้กับหนังสือพิมพ์ที่มักจะปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว 56 เขามองว่าการทำงานประจำในฐานะผู้สื่อข่าวให้กับ New York Daily Tribune เป็นภาระที่ "หนักหนาเกินไป" และบ่อยครั้งก็ให้เองเกลส์เขียนบทความแทนเขา 56 สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความแปลกแยกอย่างลึกซึ้งจาก "แรงงาน" ที่เขายกย่องในทางทฤษฎี
4.2 ผู้อุปถัมภ์ที่เป็นนายทุน: ความย้อนแย้งขั้นสูงสุด
ความย้อนแย้งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมาร์กซ์คือการที่เขาต้องพึ่งพาทางการเงินจากฟรีดริช เองเกลส์ (Friedrich Engels) เป็นเวลาหลายสิบปี 55 สิ่งที่น่าขันที่สุดคือ เงินที่เองเกลส์ใช้จุนเจือครอบครัวมาร์กซ์นั้นมาจากธุรกิจโรงงานทอผ้าของครอบครัวเขาในแมนเชสเตอร์ ซึ่งเป็นตัวอย่างชั้นดีของการขูดรีดแบบทุนนิยมที่งานเขียนของมาร์กซ์ประณาม 60 มาร์กซ์ นักวิพากษ์ทุนผู้ยิ่งใหญ่ กลับได้รับการอุดหนุนจากทุนนิยมโดยตรงเกือบตลอดชีวิตวัยผู้ใหญ่ของเขา
4.3 จาก Oikonomia สู่เศรษฐศาสตร์การเมือง: ความล้มเหลวในการขยายมาตราส่วน
แนวคิดดั้งเดิมของเศรษฐศาสตร์มีรากมาจากคำในภาษากรีกโบราณว่า oikonomia ซึ่งแปลตรงตัวว่า "กฎของครัวเรือน" หรือ "การจัดการครัวเรือน" 63 สำหรับนักคิดอย่างอริสโตเติล เศรษฐศาสตร์เริ่มต้นจากการจัดการทรัพยากรในครัวเรือนอย่างมีคุณธรรมและใช้ได้จริง เพื่อให้แน่ใจว่าครัวเรือนจะอยู่ดีมีสุขและพึ่งพาตนเองได้ 3
มาร์กซ์ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในกิจกรรมทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานที่สุดนี้ เขาไม่ใช่ผู้จัดการทรัพยากรที่ขาดแคลนอย่างประหยัด แต่เป็นชายที่ใช้ชีวิตอยู่ในวิกฤตทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ต้องพึ่งพาเงินช่วยเหลือ และไม่สามารถดูแลครัวเรือนของตนเองได้ 54 ทฤษฎีของเขาจึงเป็นการละทิ้งรากฐานดั้งเดิมของเศรษฐศาสตร์อย่างสิ้นเชิง เขาเพิกเฉยต่อปัญหาที่เป็นรูปธรรมของการจัดการทรัพยากร และสร้างระบบนามธรรมขนาดใหญ่ที่มุ่งเน้นไปที่พลังทางประวัติศาสตร์ที่ไร้ตัวตน เช่น "ทุน" "แรงงาน" และ "การต่อสู้ทางชนชั้น" 67 "เศรษฐศาสตร์" ของเขาจึงไม่ใช่เรื่องของการประหยัด (economizing) แต่เป็นเรื่องของการปฏิวัติ
4.4 การฉายภาพทางจิตวิทยา?
แม้จะเป็นการคาดเดา แต่ก็มีเหตุผลให้ตั้งคำถามว่า การวิพากษ์วิจารณ์ชนชั้นนายทุนและระบบทุนนิยมอย่างเกรี้ยวกราดของมาร์กซ์ เป็นส่วนหนึ่งของการฉายภาพความล้มเหลวและความคับแค้นใจส่วนตัวของเขาหรือไม่ หลังจากที่ล้มเหลวในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการทำงานหรือการจัดการทรัพยากรในบ้านของตนเอง มาร์กซ์ได้สร้างทฤษฎีที่ดูหมิ่นแนวคิดเรื่องกำไร การจัดการอย่างรับผิดชอบ และการสะสมทุนหรือไม่ ทฤษฎีของเขามองว่า "กำไรคือการขโมย" (ผ่านมูลค่าส่วนเกิน) ซึ่งเป็นโลกทัศน์ที่สะดวกสำหรับคนที่ไม่สามารถสร้างกำไรได้อย่างถูกกฎหมาย 67 ความล้มเหลวทางการเงินส่วนตัวของเขา 58 อาจเป็นเชื้อเพลิงที่โหมกระพือความเกลียดชังทางปัญญาของเขาต่อระบบที่เขาไม่สามารถประสบความสำเร็จได้
ชีวิตและผลงานของมาร์กซ์แสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่สอดคล้องกันของการผลักภาระความรับผิดชอบส่วนบุคคลออกไป ในชีวิตส่วนตัว เขาผลักภาระความรับผิดชอบทางการเงินไปให้เองเกลส์ 55 ในทางทฤษฎี เขาผลักภาระผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจไปให้พลังทางประวัติศาสตร์ที่ไร้ตัวตนและถูกกำหนดไว้แล้ว ซึ่งเป็นการลบล้างเจตจำนงและความรับผิดชอบของปัจเจกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการ ผู้วางแผน หรือกรรมกร แนวคิด oikonomia แบบคลาสสิกมีหัวใจอยู่ที่การดูแลจัดการทรัพยากรในครัวเรือนอย่างรับผิดชอบ 3 แต่ชีวิตของมาร์กซ์กลับตรงกันข้ามกับหลักการนี้โดยสิ้นเชิง ทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ของเขาก็เช่นกัน ที่มองว่าประวัติศาสตร์มนุษย์ถูกขับเคลื่อนโดยวิธีการผลิตซึ่งเป็นพลังที่ไร้ตัวตน 2 และทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของเขาก็เสนอระบบวางแผนจากส่วนกลางที่ "สภาเศรษฐกิจสูงสุด" 38 เป็นผู้ทำการตัดสินใจ ซึ่งเป็นการลบความรับผิดชอบของนักแสดงทางเศรษฐกิจนับล้านคน (ผู้บริโภค, ผู้ผลิต, ผู้ประกอบการ) ที่จะต้องทำการคำนวณทางเศรษฐกิจของตนเองและรับผลที่ตามมา (กำไรหรือขาดทุน) ดังนั้น จึงเห็นความเชื่อมโยงโดยตรง: ชายผู้ไม่สามารถจัดการงบประมาณของตนเองได้ ได้สร้างระบบที่ไม่สามารถจัดการงบประมาณของชาติได้ ชายผู้ต้องพึ่งพาผู้อุปถัมภ์ ได้สร้างระบบที่ตั้งสมมติฐานว่ามีหน่วยงานวางแผนที่เปี่ยมด้วยเมตตาและรอบรู้ทุกอย่างสามารถจัดหาสิ่งของให้ทุกคนได้ การหลีกหนีจากความรับผิดชอบทางเศรษฐกิจส่วนตัวได้ถูกขยายขนาดขึ้นเป็นทฤษฎีการเมืองและเศรษฐกิจระดับโลก ซึ่งโดยแก่นแท้แล้ว ก็คือการหลีกหนีจากความเป็นจริงของความขาดแคลนและความจำเป็นของการจัดการอย่างมีเหตุผลนั่นเอง
บทสรุป: การล่มสลายของโลกทัศน์ จากครัวเรือนสู่สากล
บทวิเคราะห์นี้ได้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางจากคำมั่นสัญญายูโทเปียของมาร์กซ์ สู่ความเป็นจริงอันน่าเศร้าในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเป็นไปไม่ได้ทางทฤษฎี และสะท้อนภาพผ่านชีวิตส่วนตัวที่ล้มเหลวของผู้เป็นเจ้าของทฤษฎี ข้อบกพร่องที่เชื่อมโยงทุกมิติเหล่านี้เข้าด้วยกันคือความเข้าใจผิดและการเพิกเฉยต่อธรรมชาติของมนุษย์และความเป็นจริงของความขาดแคลน ทฤษฎีมาร์กซิสต์ตั้งสมมติฐานว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของมนุษย์ ขจัดผลประโยชน์ส่วนตน และความจำเป็นของแรงจูงใจออกไปได้ ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าสมมติฐานนี้ผิดพลาดอย่างมหันต์และนำมาซึ่งหายนะ
ความย้อนแย้งสุดท้ายจึงอยู่ที่ ชายผู้อุทิศชีวิตให้กับการเขียนเรื่องเศรษฐศาสตร์ กลับเป็นผู้ล้มเหลวทางเศรษฐกิจส่วนบุคคลในทุกแง่มุมที่วัดได้ ความไร้ความสามารถของเขาในการจัดการ oikos (ครัวเรือน) ได้มอบบทวิพากษ์ที่ทรงพลังและใกล้ตัวที่สุดต่อวิสัยทัศน์ที่บกพร่องของเขาที่มีต่อ polis (รัฐ) ทฤษฎีคอมมิวนิสต์อันยิ่งใหญ่ไม่ได้ล้มเหลวเพราะการนำไปปฏิบัติ แต่ถือกำเนิดขึ้นจากความล้มเหลวในการทำความเข้าใจความเป็นจริงทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานที่สุด ซึ่งเป็นความจริงที่หลอกหลอนอยู่ในบ้านของเขาเอง
ภาพประกอบบทความ
ผลงานที่อ้างอิง





.png)





