ระบบการปกครอง คตินิยมนักวิชาการ หรือ เทคโนแครต (Technocracy)
แนวคิด เทคโนแครต (Technocracy) คือระบบการปกครองที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ใช่ผู้ที่ได้รับความนิยมทางการเมือง แต่เป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคในสาขานั้นๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยน "ศิลปะการเมือง" ที่เต็มไปด้วยการต่อรอง ให้กลายเป็น "วิทยาศาสตร์แห่งการแก้ปัญหาสังคม" ที่เน้นประสิทธิภาพ ข้อมูล และเหตุผลเป็นหลัก
## 1. จุดเริ่มต้นโดยเพลโตและ "ราชาปราชญ์"
รากฐานของแนวคิดนี้ย้อนกลับไปถึง เพลโต นักปรัชญากรีกโบราณ ผู้ผิดหวังกับระบอบประชาธิปไตยที่ใช้เสียงของคนส่วนใหญ่ซึ่งขาดความรู้ ตัดสินประหารชีวิตโสกราตีส อาจารย์ของเขา
แนวคิดหลัก: เพลโตเสนอแนวคิด ราชาปราชญ์ (Philosopher-King) ซึ่งคือผู้ปกครองที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค แต่เป็น "ผู้เชี่ยวชาญทางศีลธรรม" ผู้เข้าถึงความจริงสูงสุดเกี่ยวกับ "ความดี" และ "ความยุติธรรม"
อุปมาเรื่องเรือ: เพลโตเปรียบรัฐเหมือนเรือที่กำลังล่องลอย โดยมีประชาชนเป็นเจ้าของเรือที่แข็งแรงแต่ขาดความรู้เรื่องการเดินเรือ, มีนักการเมืองเป็นลูกเรือที่แย่งกันคุมหางเสือทั้งที่ไม่มีความสามารถ และมี "นักปรัชญา" เป็นต้นหนที่แท้จริงซึ่งรู้ทิศทางลมและดวงดาว แต่กลับถูกมองว่าไร้ประโยชน์
สาระสำคัญ: เพลโตเชื่อว่าการปกครองเป็นทักษะเฉพาะทางที่ต้องอาศัย "ความรู้ที่แท้จริง" ไม่ใช่มติของมหาชน เขาจึงวางรากฐานว่าอำนาจการปกครองควรมาจากผู้รู้แจ้ง ไม่ใช่เสียงข้างมาก
## 2. การเปลี่ยนผ่านสู่ "เทคโนแครต"
เวลาผ่านไปหลายศตวรรษจนถึงยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์ นิยามของ "ความรู้" ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เน้นปรัชญาและศีลธรรม กลายมาเป็นการให้คุณค่ากับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์และวัดผลได้ทางวิทยาศาสตร์
กำเนิดผู้เชี่ยวชาญยุคใหม่: โลกทัศน์ใหม่มองว่าสังคมและธรรมชาติเป็นเหมือน "เครื่องจักร" ที่สามารถทำความเข้าใจและ "ออกแบบทางวิศวกรรม" ได้ สิ่งนี้ให้กำเนิดผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใหม่ คือ นักวิทยาศาสตร์และวิศวกร
การเชื่อมโยงสู่การเมือง: นักคิดอย่าง แซงต์-ซิมง เป็นคนแรกๆ ที่นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับสังคม เขาเสนอว่าสังคมไม่ควรถูก "ปกครองโดยมนุษย์" (government of men) ซึ่งเป็นการเมืองที่วุ่นวาย แต่ควรถูก "บริหารจัดการสรรพสิ่ง" (administration of things) อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนโรงงานอุตสาหกรรม โดยสภาของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร
## 3. เทคโนแครต: การปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค
แนวคิดนี้กลายเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุดในขบวนการเทคโนแครตที่สหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษ 1930 ซึ่งเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่
เป้าหมาย: ขบวนการนี้เสนอให้แทนที่นักการเมืองและนักธุรกิจด้วย วิศวกรและผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค เพื่อบริหารจัดการสังคมทั้งหมดเสมือนเป็น "ปัญหาวิศวกรรมขนาดใหญ่"
ข้อเสนอ: พวกเขาต้องการยกเลิกระบบเงินตรา แล้วใช้ "ใบรับรองพลังงาน" ที่คำนวณมูลค่าจากพลังงานที่ใช้ผลิตสิ่งของนั้นๆ แทน เพื่อขจัดความสูญเปล่าและความเหลื่อมล้ำ
สาระสำคัญของเทคโนแครต: แนวคิดของ ราชาปราชญ์ ของเพลโตได้วิวัฒนาการมาถึงจุดนี้ "ผู้ทรงความรู้" ไม่ใช่ปราชญ์ผู้รู้เรื่องคุณธรรมอีกต่อไป แต่คือ วิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ที่รู้เรื่องข้อมูล สถิติ และหลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ปราศจากความสูญเปล่า และบริหารจัดการทุกอย่างด้วยหลักการทางเทคนิคแทนที่อุดมการณ์ทางการเมือง
เอกสาร รายงานฉบับเต็ม คลิป ที่รายละเอียดเพื่อกดขยาย
โหลดเอกสาร
https://docs.google.com/document/d/1J7OET0_OZTynK3JQo7YHrkYu35Wjs0v95vSBsLW3Wv4/
<summary>
จากอุตมรัฐสู่เทคโนแครต: ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาว่าด้วยการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญ
บทนำ: เทคโนแครตคืออะไร?
ในโลกยุคปัจจุบันที่ต้องเผชิญกับปัญหาสลับซับซ้อนเกินกว่าความเข้าใจของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การรับมือโรคระบาด การกำกับดูแลเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือความผันผวนของเศรษฐกิจดิจิทัล ได้เกิดคำถามสำคัญขึ้นในแวดวงรัฐศาสตร์ว่า การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ส่งผลกระทบในวงกว้างควรถูกชี้นำโดยเจตจำนงของประชาชนผ่านกระบวนการทางการเมือง หรือควรอยู่ในมือของผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ อย่างแท้จริง?
ใจกลางของคำถามนี้คือแนวคิดที่เรียกว่า "เทคโนแครต" (Technocracy) หรือ "คตินิยมนักวิชาการ" ซึ่งหากจะนิยามอย่างรวบรัด มันคือระบบการปกครองที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ได้ถูกเลือกจากคะแนนนิยมทางการเมือง แต่ได้รับเลือกจากความรู้และความเชี่ยวชาญทางเทคนิค (Technical Expertise) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง 20 เป้าหมายสูงสุดของเทคโนแครตคือการเปลี่ยน "ศิลปะแห่งการปกครอง" (The Art of Politics) ที่เต็มไปด้วยการต่อรองผลประโยชน์และอุดมการณ์ ให้กลายเป็น "วิทยาศาสตร์แห่งการแก้ปัญหาสังคม" (The science of social engineering) ที่ตั้งอยู่บนฐานของข้อมูล ประสิทธิภาพ และความเป็นเหตุเป็นผล 22
เสน่ห์ของแนวคิดนี้อยู่ที่คำมั่นสัญญาถึงความมีประสิทธิภาพและความก้าวหน้า โดยเชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญจะสามารถวางแผนและดำเนินนโยบายที่ซับซ้อนในระยะยาวได้ดีกว่านักการเมืองที่ต้องกังวลกับคะแนนนิยมในระยะสั้น 26 อย่างไรก็ตาม เทคโนแครตก็ได้สร้างคำถามใหญ่หลวงต่อคุณค่าพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย นั่นคือปัญหาเรื่องความรับผิดชอบและความชอบธรรม: เราจะตรวจสอบหรือถอดถอนผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้มาจากเสียงของเราได้อย่างไร? 24
บทความนี้จะนำท่านย้อนรอยการเดินทางทางความคิดของแนวคิดอันทรงพลังนี้ โดยสำรวจวิวัฒนาการของมันตั้งแต่จุดกำเนิดทางปรัชญาในแนวคิด "ราชาปราชญ์" ของเพลโต ไปจนถึงการก่อร่างเป็นขบวนการทางสังคมที่เป็นรูปธรรมในยุคสมัยใหม่ เพื่อทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ ข้อดี ข้อเสีย และมรดกที่ยังคงดังก้องอยู่ในโลกปัจจุบัน
ส่วนที่ 1: แบบอย่างโบราณ - อุตมรัฐของเพลโตและราชาปราชญ์
รากฐานทางปรัชญาของแนวคิดการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญนั้นหยั่งรากลึกย้อนกลับไปได้ถึงโลกยุคคลาสสิก โดยมีจุดกำเนิดที่สำคัญที่สุดในงานเขียนของเพลโต (Plato) นักปรัชญาชาวกรีกผู้ยิ่งใหญ่ แนวคิด "ราชาปราชญ์" (Philosopher-King) ของเขามิใช่ข้อเสนอเชิงเทคโนแครตในความหมายสมัยใหม่ แต่ถือเป็นต้นแบบทางปรัชญาที่สำคัญยิ่งสำหรับการมอบอำนาจปกครองให้อยู่ในมือของผู้ทรงความรู้ แทนที่จะเป็นมติของมหาชน วิสัยทัศน์ของเพลโตไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศทางความคิด แต่เป็นปฏิกิริยาตอบโต้อย่างลึกซึ้งและรุนแรงต่อความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ที่เขาได้ประสบมาด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับโสกราตีส (Socrates) อาจารย์ของเขา
1.1 บาดแผลจากโสกราตีส: บทวิพากษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากวิกฤต
การทำความเข้าใจปรัชญาการเมืองของเพลโตจะสมบูรณ์ไปไม่ได้หากปราศจากการพิจารณาถึงเหตุการณ์อันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา นั่นคือการไต่สวนและการประหารชีวิตโสกราตีสในปี 399 ก่อนคริสตกาล 1 เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนบาดแผลทางใจ (Trauma) ที่ผลักดันให้เพลโตสร้างสรรค์ปรัชญาการเมืองขึ้นมาเพื่อตอบโต้และแก้ไขสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงของระบอบประชาธิปไตย โสกราตีสถูกตั้งข้อหาว่า "ไม่นับถือเทพเจ้าของนครรัฐ" และ "ชักจูงเยาวชนให้หลงผิด" 1 แต่สำหรับเพลโตแล้ว ข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นเพียงข้ออ้างของกลุ่มผู้มีอำนาจในระบอบประชาธิปไตยเอเธนส์ที่ต้องการกำจัดนักคิดผู้ไม่ยอมอ่อนข้อและตั้งคำถามกับภูมิปัญญาของผู้ปกครองอย่างไม่ลดละ 1
โสกราตีสวิพากษ์วิจารณ์ระบอบประชาธิปไตยเอเธนส์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่ระบบเปิดโอกาสให้ปัจเจกบุคคลที่เห็นแก่ตัวสามารถก้าวขึ้นสู่อำนาจและสร้างความมั่งคั่งได้โดยอาศัยเพียงวาทศิลป์และคำเยินยอเพื่อเอาใจฝูงชน 1 การประหารชีวิตบุรุษที่เพลโตเชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาที่สุดในเอเธนส์ด้วยมติของคณะลูกขุน 501 คน 1 ได้ยืนยันข้อสรุปของเขาว่า ประชาธิปไตยเป็น "รูปแบบการปกครองที่ฉ้อฉลและอยุติธรรม" 1 โดยเนื้อแท้ เป็นระบบที่มวลชนผู้ขาดความรู้สามารถถูกชักจูงโดยนักปลุกระดม (Demagogue) และวาทศิลป์ให้กระทำการอันอยุติธรรมอย่างมหันต์ได้ 2 บทวิพากษ์ของเพลโตจึงไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีที่เป็นนามธรรม แต่ถือกำเนิดขึ้นจากความล้มเหลวทางประวัติศาสตร์ที่จับต้องได้ของเอเธนส์ ซึ่งได้สังหารพลเมืองผู้ทรงปัญญาที่สุดของตนเอง 1 สิ่งนี้ได้สร้างแก่นกลางของความขัดแย้งที่จะดำเนินต่อไปในประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง นั่นคือการต่อสู้ระหว่าง "ความรู้ที่แท้จริง" (Episteme) กับ "วาทศิลป์ที่โน้มน้าวใจ" (Rhetoric)
1.2 อุปมาเรื่องเรือ: ภาพสะท้อนของรัฐที่ไร้ทิศทาง
เพื่อสาธิตให้เห็นถึงความบกพร่องของระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นรูปธรรม เพลโตได้นำเสนอ "อุปมาเรื่องเรือ" (Analogy of the Ship) อันโด่งดังในหนังสือ อุตมรัฐ (The Republic) เล่มที่ 6 6 อุปมานี้เปรียบเทียบนครรัฐเอเธนส์กับเรือลำหนึ่งที่กำลังล่องลอยอยู่ในทะเล โดยมีตัวละครเปรียบเทียบดังนี้:
เจ้าของเรือ: เป็นตัวแทนของปวงชน (Demos) ซึ่งแม้จะมีร่างกายใหญ่โตแข็งแรง (มีอำนาจทางการเมือง) แต่ก็ "หูตึง สายตาสั้น และไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการเดินเรือ" 6 สะท้อนมุมมองของเพลโตที่ว่ามวลชนนั้นมีอำนาจแต่ขาดความสามารถและสติปัญญาในการปกครอง
ลูกเรือ: เป็นตัวแทนของนักการเมืองและนักปลุกระดม พวกเขาต่างแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อเข้าควบคุมหางเสือเรือ โดยแต่ละคนเชื่อว่าตนเองควรได้เป็นกัปตัน ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ความชำนาญใดๆ ที่สำคัญ พวกเขายืนกรานว่าการเป็นกัปตันนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะพิเศษ (techne) ใดๆ ทั้งสิ้น 6 ลูกเรือเหล่านี้ยังมัวเมาอยู่กับการบริโภคทรัพยากรบนเรืออย่างตะกละตะกลาม ซึ่งสะท้อนถึงการคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนของนักการเมือง
ต้นหนที่แท้จริง (True Navigator): เป็นตัวแทนของนักปรัชญาหรือราชาปราชญ์ เขาเป็นผู้มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับการเดินเรือ—รู้เรื่องดวงดาว ฤดูกาล และทิศทางลม (เปรียบได้กับการเข้าถึงมโนภาพหรือแบบ (Forms) แห่งความดีและความยุติธรรม) แต่กลับถูกลูกเรือคนอื่นๆ มองข้ามและเยาะเย้ยว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ 6
อุปมาเรื่องเรือนี้สรุปแก่นความคิดของเพลโตได้อย่างทรงพลังว่า การปกครองคือทักษะเฉพาะทางที่ต้องอาศัยความรู้และความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่สิทธิของคนทุกคนที่จะเข้ามาทำก็ได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ อุปมาดังกล่าวยังแฝงนัยถึงการยกย่องโครงสร้างการบังคับบัญชาแบบลำดับชั้นและไม่เป็นประชาธิปไตยของกองทัพเรือเอเธนส์ ซึ่งประสบความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ตรงกันข้ามกับความวุ่นวายของการเมืองในสภาประชาชน 6 เพลโตกำลังเสนอว่ารัฐควรถูกนำทางโดยผู้รู้แจ้ง ไม่ใช่ถูกปล่อยให้ล่องลอยไปตามกระแสความต้องการอันผันผวนของฝูงชนที่ถูกนักการเมืองไร้ความสามารถชักจูง
1.3 สถาปัตยกรรมแห่งอุตมรัฐ: ความรู้ในฐานะหลักการจัดระเบียบสังคม
จากบทวิพากษ์ประชาธิปไตย เพลโตได้เสนอพิมพ์เขียวสำหรับรัฐในอุดมคติที่เรียกว่า คัลลิโปลิส (Kallipolis) หรืออุตมรัฐ ซึ่งเป็นรัฐที่จัดระเบียบสังคมโดยมี "ความรู้" เป็นหลักการสูงสุด โครงสร้างของรัฐนี้สะท้อนโครงสร้างสามส่วนของวิญญาณมนุษย์ (เหตุผล, ความกล้า, และความปรารถนา) 7 โดยแบ่งพลเมืองออกเป็นสามชนชั้นตามธรรมชาติและความสามารถของแต่ละคน:
ชนชั้นผู้พิทักษ์ (Guardians) หรือ ราชาปราชญ์ (Philosopher-Kings): ชนชั้นปกครองซึ่งมีจำนวนน้อยที่สุด ถูกชี้นำโดยเหตุผล (logos) พวกเขาคือผู้ที่ผ่านการศึกษาอย่างเข้มงวดและยาวนานจนสามารถเข้าถึงความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับ "แบบ" แห่งความดีและความยุติธรรมได้
ชนชั้นผู้ช่วย (Auxiliaries) หรือ ทหาร: ชนชั้นทหารและผู้พิทักษ์ความสงบเรียบร้อย ถูกชี้นำโดยความกล้าหาญ (thumos) หน้าที่ของพวกเขาคือการปกป้องรัฐและบังคับใช้กฎหมายตามคำสั่งของชนชั้นผู้ปกครอง
ชนชั้นผู้ผลิต (Producers): ชนชั้นกสิกร ช่างฝีมือ และพ่อค้า ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของรัฐ ถูกชี้นำโดยความปรารถนาทางกายภาพ (epithumia) หน้าที่ของพวกเขาคือการผลิตปัจจัยยังชีพและสร้างความมั่งคั่งทางวัตถุให้กับรัฐ
ในอุตมรัฐของเพลโต "ความยุติธรรม" จะบังเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อแต่ละชนชั้นทำหน้าที่ตามธรรมชาติของตนเองอย่างสมบูรณ์ และไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของชนชั้นอื่น 7 นี่คือวิสัยทัศน์ของสังคมที่มีระเบียบแบบแผนอย่างสมบูรณ์ เป็นสังคมแบบลำดับชั้นที่วางอยู่บนพื้นฐานของความสามารถโดยกำเนิดและการศึกษาที่เข้มข้น ไม่ใช่ความยินยอมของมหาชน เป้าหมายสูงสุดของรัฐคือการสร้างความสามัคคีในสังคมและนำพาทุกคนไปสู่ชีวิตที่ดีงามและมีคุณธรรม 3
1.4 ธรรมชาติแห่งอำนาจของเพลโต: ความรู้ทางศีลธรรม ไม่ใช่ทักษะทางเทคนิค
ณ จุดนี้ การจำแนกความแตกต่างระหว่างแนวคิดของเพลโตกับเทคโนแครตสมัยใหม่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คุณสมบัติที่ทำให้ราชาปราชญ์คู่ควรแก่การปกครองนั้นไม่ใช่ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในระดับอภิปรัชญาต่อ "แบบ" (Forms) ที่เป็นนามธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แบบแห่งความดี" (The Form of the Good) 4 ความรู้ของพวกเขาเป็นความรู้เชิงศีลธรรมโดยพื้นฐาน พวกเขาปกครองไม่ใช่เพราะเป็นนักบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ แต่เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าสิ่งใดคือ "ความดีที่แท้จริง" สำหรับรัฐและพลเมือง 8 ความรู้นี้ถูกบรรยายว่าเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมสูงและอยู่ห่างไกลจากโลกแห่งความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน 9
อำนาจของราชาปราชญ์จึงมีรากฐานมาจากสิทธิอำนาจทางศีลธรรม (moral authority) อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม แบบจำลองนี้ก็เผชิญกับคำวิจารณ์ที่หนักหน่วงเช่นกัน ประการแรกคือความเป็นไปไม่ได้ที่คนเพียงคนเดียวจะสามารถหยั่งรู้ความต้องการของประชาชนทุกคนได้ 9 ประการที่สองคืออันตรายที่อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเช่นนี้อาจนำไปสู่ระบอบทรราชย์ได้ง่ายหากผู้ปกครองขาดคุณธรรม 10
ถึงกระนั้น มรดกที่สำคัญที่สุดที่เพลโตทิ้งไว้ให้กับประวัติศาสตร์ความคิดว่าด้วยการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญคือการสถาปนา "ทวิภาวะ" (dichotomy) ที่จะกลายเป็นแกนกลางของวิวาทะในยุคต่อๆ มา นั่นคือความตึงเครียดระหว่าง เอพิสเตเม (episteme) หรือความรู้ที่แท้จริงซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้ว กับ ด็อกซา (doxa) หรือความคิดเห็นและความเชื่อของสามัญชน เพลโตเป็นนักคิดคนแรกที่ให้เหตุผลอย่างเป็นระบบว่าความชอบธรรมทางการเมืองควรมาจาก เอพิสเตเม เพียงอย่างเดียว การกระทำเช่นนี้ได้วางรากฐานทางปรัชญาสำหรับการอ้างสิทธิ์ของ "ความจริงทางวิทยาศาสตร์" เหนือ "ความคิดเห็นทางการเมือง" ในอีกสองพันปีต่อมา คำถามที่ว่า "ใครคือต้นหนที่แท้จริง?" ยังคงดังก้องกังวานผ่านยุคสมัย แม้ว่านิยามของ "การเดินเรือ" จะเปลี่ยนจากปรัชญาศีลธรรมไปสู่การบริหารจัดการทางวิศวกรรมอุตสาหการก็ตาม
ส่วนที่ 2: การเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ - จากอภิปรัชญาสู่กลไกนิยม
เพื่อที่จะเข้าใจการก่อร่างของแนวคิดเทคโนแครตสมัยใหม่ จำเป็นต้องข้ามผ่านช่วงเวลาหลายศตวรรษมาสู่ยุคแห่งการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่ขบวนการทางการเมือง แต่เป็นการปฏิวัติทางญาณวิทยา (epistemological revolution) ที่ได้เปลี่ยนนิยามของ "ความรู้" ไปอย่างสิ้นเชิง มันได้แทนที่อุดมคติแบบเพลโตที่เน้นความจริงเชิงอภิปรัชญาที่เป็นนามธรรม ด้วยอุดมคติใหม่ที่ให้คุณค่ากับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่สามารถพิสูจน์และวัดผลได้ในทางคณิตศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางความคิดครั้งนี้ได้สร้าง "ผู้เชี่ยวชาญ" ในความหมายสมัยใหม่ขึ้นมา และวางโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับแนวคิดเทคโนแครตที่ตั้งอยู่บนฐานของวิทยาศาสตร์แทนปรัชญา
2.1 การรื้อถอนโลกทัศน์เก่า: จากอำนาจนำสู่ประจักษ์นิยม
ก่อนยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์ โลกทัศน์ของชาวยุโรปถูกครอบงำโดยปรัชญาของอริสโตเติล (Aristotle) และเทววิทยาศาสนาคริสต์มาเป็นเวลานานเกือบ 2,000 ปี 12 "ความรู้" ในยุคนั้นมีลักษณะเป็นนิรนัย (deductive) เป็นหลัก โดยอ้างอิงจากอำนาจของคัมภีร์โบราณและหลักคำสอนทางศาสนา เป้าหมายของ "ปรัชญาธรรมชาติ" (natural philosophy) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกวิทยาศาสตร์ในยุคนั้น ไม่ใช่การ "ค้นพบ" ความจริงใหม่ แต่เป็นการ "อธิบาย" ความจริงที่เชื่อว่ามีอยู่แล้วและสมบูรณ์ในตัวเอง 14 การแสวงหาความรู้จึงเป็นการศึกษาและตีความจากตำรา มากกว่าการสังเกตและทดลองจากโลกธรรมชาติโดยตรง
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์นี้ไปอย่างสิ้นเชิง โดยเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญจากการพึ่งพาอำนาจนำของคนโบราณและเหตุผลแบบนิรนัย ไปสู่การเน้นย้ำ "การสังเกตเชิงประจักษ์ (empirical observation), การทดลอง (experimentation), และการพรรณนาด้วยคณิตศาสตร์ (mathematical description)" 13 บุคคลสำคัญอย่างนิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus) และกาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) ได้ท้าทายแบบจำลองจักรวาลที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง (geocentric model) ซึ่งเป็นที่ยอมรับมานานนับพันปี ไม่ใช่ด้วยการใช้ปรัชญาที่เหนือกว่า แต่ด้วยหลักฐานจากการสังเกตการณ์ผ่านกล้องโทรทรรศน์และการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ 12
วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบใหม่นี้ตั้งอยู่บนหลักการที่สำคัญคือ ความสามารถในการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จได้ (falsifiability), ความสามารถในการหักล้างได้ (refutability), และความสามารถในการทดสอบได้ (testability) 12 คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ความรู้สามารถถูกตรวจสอบ แก้ไข และพัฒนาให้ก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง วิทยาศาสตร์ได้กลายเป็นสาขาวิชาที่เป็นอิสระ แยกตัวออกจากปรัชญาและเทววิทยาอย่างชัดเจน 15 และได้สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับสิ่งที่เรียกว่า "ความรู้ที่น่าเชื่อถือ"
2.2 กำเนิด "ผู้เชี่ยวชาญ" สมัยใหม่: นักวิทยาศาสตร์และวิศวกร
การเปลี่ยนแปลงทางญาณวิทยานี้ได้ให้กำเนิดผู้ทรงอำนาจทางปัญญากลุ่มใหม่ขึ้นมา นั่นคือ "ผู้เชี่ยวชาญ" สมัยใหม่ การอ้างสิทธิ์ในความรู้ของพวกเขาไม่ได้มาจากคุณธรรมทางศีลธรรมหรือการเปิดเผยจากพระเจ้า แต่มาจากความสามารถในการ "สาธิต, ทำนาย, และควบคุม" โลกธรรมชาติผ่านวิธีการที่เป็นกลางและเป็นวัตถุวิสัย 13 จักรวาลถูกจินตนาการขึ้นมาใหม่ในฐานะ "เครื่องจักร" ขนาดใหญ่ที่ทำงานภายใต้กฎสากลทางคณิตศาสตร์ที่ตายตัว (ดังที่ปรากฏในผลงานของไอแซก นิวตัน) แทนที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเป้าหมายและเจตจำนง 13 โลกทัศน์เชิงกลไกนิยม (mechanistic worldview) นี้ได้เปิดทางให้เกิดความคิดที่ว่า สังคมมนุษย์เองก็อาจจะสามารถถูกทำความเข้าใจและ "ออกแบบเชิงวิศวกรรม" (engineered) ได้เช่นเดียวกับเครื่องจักร
ยิ่งไปกว่านั้น การก่อตั้งสมาคมวิทยาศาสตร์ เช่น ราชสมาคมแห่งลอนดอน (Royal Society of London) ในปี 1662 ได้สร้างสถาบันที่เป็นทางการสำหรับการตรวจสอบและเผยแพร่ความรู้รูปแบบใหม่ที่ทรงพลังนี้ 15 สถาบันเหล่านี้ได้สร้าง "สาธารณรัฐแห่งวิทยาศาสตร์" (Republic of Science) ขึ้นมา ซึ่งเป็นชุมชนของผู้รู้ที่ความจริงถูกตัดสินโดยหลักฐานและการพิสูจน์ ไม่ใช่โดยตำแหน่งหรืออำนาจทางการเมือง 14 การทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กลายเป็นเรื่องของสถาบันนี้เองที่มอบน้ำหนักทางสังคมและการเมืองให้กับมันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์จึงเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นและขาดไม่ได้สำหรับการเกิดขึ้นของแนวคิดเทคโนแครตสมัยใหม่ มันได้สร้างผู้เชี่ยวชาญรูปแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งมีอำนาจที่เกิดจากผลลัพธ์ที่จับต้องได้และเป็นประโยชน์ (utilitarian) เช่น การสร้างสะพาน การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร หรือการชนะสงคราม ที่สำคัญที่สุดคือ มันได้เปลี่ยน "เป้าหมาย" ของการปกครองโดยผู้ทรงความรู้ไปโดยสิ้นเชิง สำหรับเพลโต เป้าหมายคือเรื่องทางศีลธรรม—เพื่อจัดระเบียบรัฐให้สอดคล้องกับ "แบบแห่งความดี" อันสูงส่ง แต่หลังจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เป้าหมายได้กลายเป็นเรื่องทางประโยชน์นิยมและทางวัตถุ—เพื่อจัดระเบียบรัฐให้มี "ประสิทธิภาพสูงสุด, ผลิตภาพสูงสุด, และสามารถควบคุม" สภาพแวดล้อมทางกายภาพได้ดีที่สุด เหตุผลของการปกครองได้เปลี่ยนจากการบรรลุซึ่งคุณธรรม (virtue) ไปสู่การแก้ไขปัญหา (problem-solving) นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากโลกทัศน์ที่มุ่งหาเป้าหมายทางศีลธรรม (teleological) ไปสู่โลกทัศน์เชิงกลไก (mechanistic) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางปรัชญาที่ขับเคลื่อนแนวคิดเทคโนแครตสมัยใหม่ทั้งหมด
ส่วนที่ 3: ประกาศกแห่งยุคอุตสาหกรรม - วิสัยทัศน์สังคมวิทยาศาสตร์ของแซงต์-ซิมง
อองรี เดอ แซงต์-ซิมง (Henri de Saint-Simon) คือบุคคลสำคัญผู้เชื่อมโยงอำนาจใหม่ของวิทยาศาสตร์เข้ากับโครงการทางสังคม-การเมืองที่ชัดเจนเป็นครั้งแรก เขาปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของการปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติอุตสาหกรรม และได้เสนอวิสัยทัศน์ที่ปฏิวัติวงการ นั่นคือสังคมที่ไม่ได้ถูกบริหารโดยนักการเมืองหรือชนชั้นสูง แต่โดยพลังการผลิตของวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม แซงต์-ซิมงจึงเปรียบเสมือนประกาศกผู้พยากรณ์ถึงยุคสมัยที่การปกครองจะกลายเป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญทางเทคนิค
3.1 โลกที่กำลังเปลี่ยนผัน: บริบทหลังการปฏิวัติ
ชีวิตของแซงต์-ซิมง (1760-1825) อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวของการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ เขามีส่วนร่วมโดยตรงทั้งในการปฏิวัติอเมริกาและปฏิวัติฝรั่งเศส 16 ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เขาเห็นการล่มสลายของระเบียบสังคมเก่าแบบศักดินา (feudalism) และการผงาดขึ้นของสังคมอุตสาหกรรมใหม่ 16 จากการสังเกตการณ์นี้ แซงต์-ซิมงได้พัฒนาทฤษฎีทางสังคมที่ระบุถึงความขัดแย้งพื้นฐานระหว่าง "ชนชั้นผู้ว่างงาน" (idling class) ซึ่งประกอบด้วยชนชั้นสูงเก่า, นักบวช, และนักการเมืองที่เขาเห็นว่าไร้ประโยชน์ กับ "ชนชั้นอุตสาหกรรม" (industrial class) 19
สำหรับแซงต์-ซิมง "ชนชั้นอุตสาหกรรม" ไม่ได้หมายถึงแค่กรรมกรในโรงงาน แต่เป็นคำที่ครอบคลุมกว้างขวางถึงทุกคนที่มีส่วนร่วมในงานอันมีประสิทธิผล (productive work) ซึ่งรวมถึงนักวิทยาศาสตร์, นายธนาคาร, วิศวกร, เจ้าของโรงงาน, ไปจนถึงผู้ใช้แรงงาน 19 เขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่ากลุ่มคนที่สร้างความมั่งคั่งและความก้าวหน้าให้กับชาติ ควรจะเป็นผู้ที่บริหารปกครองชาติด้วยเช่นกัน 16 ความคิดนี้เป็นการท้าทายโครงสร้างอำนาจแบบดั้งเดิมที่มอบสิทธิ์ในการปกครองให้กับผู้มีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่กลับกีดกันกลุ่มคนที่มีความสามารถในการผลิตออกจากอำนาจทางการเมือง 18
3.2 จากการปกครองสู่การบริหาร: พิมพ์เขียวแห่งเทคโนแครต
ข้อเสนอที่สำคัญและปฏิวัติวงการที่สุดของแซงต์-ซิมงคือแนวคิดเรื่องการแทนที่ "การปกครองมนุษย์" (government of men) ด้วย "การบริหารจัดการสรรพสิ่ง" (administration of things) 17 ในมุมมองของเขา การเมืองแบบดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยการถกเถียง การต่อสู้แย่งชิงอำนาจ และอุดมการณ์ต่างๆ นั้นเป็นกิจกรรมที่ล้าสมัยและเป็นกาฝากของสังคม ในยุคอุตสาหกรรมใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมไม่ควรถูก "ปกครอง" แต่ควรถูก "บริหารจัดการ" อย่างมีประสิทธิภาพ
เขาได้ร่างพิมพ์เขียวสำหรับระเบียบสังคมใหม่ที่จะถูกนำโดยสภาของนักวิทยาศาสตร์และนักอุตสาหกรรม 18 โดยมีโครงสร้างดังนี้:
อำนาจทางจิตวิญญาณ/ภูมิปัญญา: จะอยู่ในมือของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่แทนที่คริสตจักรในยุคกลางในการชี้นำทิศทางทางปัญญาและศีลธรรมของสังคม 18
อำนาจทางโลก/การปฏิบัติ: จะอยู่ในมือของผู้นำทางธุรกิจและอุตสาหกรรม ผู้ซึ่งมีความสามารถในการจัดองค์กรการผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด 18
เป้าหมายของระบบนี้ไม่ใช่การโต้วาทีทางการเมือง แต่คือ "การจัดระเบียบสังคมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงสุด" และเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต 18 รัฐบาลจะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ใช้อำนาจมาเป็นการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ นี่คือการสังเคราะห์โดยตรงระหว่างญาณวิทยาใหม่ที่เกิดจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (ความเชื่อมั่นในวิธีการทางวิทยาศาสตร์) และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม (การผงาดขึ้นของชนชั้นอุตสาหกรรม) ผลลัพธ์ที่ได้คือพิมพ์เขียวฉบับแรกของรัฐเทคโนแครตสมัยใหม่
3.3 "ศาสนาคริสต์ใหม่": มิติทางศีลธรรมและอุดมคติ
แม้จะเน้นย้ำเรื่องประสิทธิภาพและวิทยาศาสตร์ แต่แซงต์-ซิมงไม่ใช่นักวัตถุนิยมที่เย็นชา วิสัยทัศน์ของเขาเปี่ยมไปด้วยศีลธรรมแบบสังคมนิยมในอุดมคติ (utopian socialism) ในผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา Nouveau Christianisme (ศาสนาคริสต์ใหม่) ที่ตีพิมพ์ในปี 1825 เขาได้ประกาศถึง "ภราดรภาพของมวลมนุษย์" ซึ่งจะต้องดำเนินควบคู่ไปกับการจัดระเบียบอุตสาหกรรมและสังคมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ 18
ศีลธรรมใหม่นี้จะมุ่งเน้นไปที่การยกระดับความเป็นอยู่และสวัสดิภาพของ "ชนชั้นที่ยากจนและมีจำนวนมากที่สุด" 16 เขาไม่ได้มองว่าประสิทธิภาพเป็นเป้าหมายในตัวเอง แต่มองว่าเป็นเครื่องมือในการบรรลุซึ่งความยุติธรรมทางสังคม ด้วยเหตุนี้ ความคิดของเขาจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดสังคมนิยมและมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อนักคิดรุ่นหลัง เช่น ออกุสต์ กองต์ (Auguste Comte) และคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) 18 แซงต์-ซิมงได้สังเคราะห์ประสิทธิภาพของยุคอุตสาหกรรมใหม่เข้ากับความจำเป็นทางศีลธรรมในการสร้างสังคมที่เท่าเทียม
การก้าวกระโดดทางความคิดที่สำคัญที่สุดของแซงต์-ซิมง คือการนิยาม "การเมือง" ใหม่ให้กลายเป็น "ปัญหาวิศวกรรม" การเสนอแนวคิด "การบริหารจัดการสรรพสิ่ง" ของเขาเป็นการบ่งชี้ว่าความขัดแย้งทางสังคมไม่ใช่การปะทะกันของค่านิยมหรือผลประโยชน์ที่ต้องไกล่เกลี่ยผ่านกระบวนการทางการเมือง แต่เป็น "ความไร้ประสิทธิภาพทางเทคนิค" ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ นี่คือสมมติฐานหลักของแนวคิดเทคโนแครตทั้งหมดในยุคต่อมา ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วเป็นแนวคิดที่ "ต่อต้านการเมือง" (anti-political) ในความหมายดั้งเดิม เพราะมันพยายามที่จะแทนที่การไตร่ตรอง การประนีประนอม และความขัดแย้ง ด้วยการคำนวณและความแน่นอนทางวิทยาศาสตร์
ส่วนที่ 4: การทดลองในอเมริกา - ขบวนการเทคโนแครตในทศวรรษ 1930
จากทฤษฎีในยุโรป แนวคิดเทคโนแครตได้ก่อตัวเป็นขบวนการทางสังคมที่เป็นรูปธรรมและประกาศตัวเองอย่างชัดเจนในสหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษ 1930 ขบวนการนี้ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ (The Great Depression) และเป็นตัวแทนของการนำอุดมการณ์เทคโนแครตมาปรับใช้ในรูปแบบที่ตรงไปตรงมาและสมบูรณ์ที่สุด แม้ท้ายที่สุดจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ได้ทิ้งมรดกทางความคิดและบทเรียนที่สำคัญไว้
4.1 วิกฤตในฐานะตัวเร่ง: ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และความล้มเหลวของ "ระบบราคา"
ขบวนการเทคโนแครตได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในช่วงต้นทศวรรษ 1930 ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้เผยให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่มีอยู่ 22 ปรากฏการณ์ "ความยากจนท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์" (poverty amidst plenty)—ที่โรงงานต้องปิดตัวลงในขณะที่ผู้คนอดอยาก—กลายเป็นหลักฐานชิ้นเอกที่ขบวนการนี้นำมาใช้โจมตีระบบที่เป็นอยู่
ขบวนการนี้นำโดยวิศวกรนามว่า โฮเวิร์ด สกอตต์ (Howard Scott) ซึ่งได้รื้อฟื้นและเผยแพร่แนวคิด "เทคโนแครต" คำนี้ถูกบัญญัติขึ้นครั้งแรกโดย วิลเลียม เฮนรี สมิธ (William Henry Smyth) ในปี 1919 23 แต่กลุ่มของสกอตต์ ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ทำให้คำนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะทางออกสำหรับวิกฤตเศรษฐกิจ 22 ข้อโต้แย้งหลักของพวกเขาคือ "ระบบราคา" (Price System) หรือระบบทุนนิยมที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาดนั้น มีโครงสร้างที่ไม่สามารถบริหารจัดการความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 22 พวกเขามองว่าระบบราคาเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลและจำเป็นต้องถูกแทนที่ด้วยระบบที่ตั้งอยู่บนหลักการทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม
4.2 เดอะเทคโนแครต: พิมพ์เขียวสำหรับทวีปวิทยาศาสตร์
ขบวนการเทคโนแครตไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิพากษ์วิจารณ์ แต่ได้เสนอพิมพ์เขียวที่ชัดเจนและถึงรากถึงโคนสำหรับการจัดระเบียบสังคมใหม่ทั้งหมด โดยมีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมดังนี้:
การปกครองโดยเทคโนแครต: ข้อเสนอหลักคือการแทนที่นักการเมืองและนักธุรกิจด้วยวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ซึ่งจะเข้ามาบริหารกลไกทางสังคมทั้งหมดเสมือนเป็นปัญหาทางวิศวกรรมขนาดใหญ่ 22 การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเชิงประจักษ์และหลักการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่อุดมการณ์ทางการเมืองหรือผลประโยชน์ทางธุรกิจ
"เทคโนแครต" แห่งอเมริกาเหนือ: พวกเขาเสนอให้รวมสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เม็กซิโก, และบางส่วนของอเมริกากลางเข้าเป็นหน่วยการปกครองภาคพื้นทวีปหน่วยเดียวที่เรียกว่า "The Technate" 24 หน่วยนี้จะพึ่งพาตนเองได้อย่างสมบูรณ์และบริหารจัดการตามหลักการเทคโนแครต โดยขจัดพรมแดนทางการเมืองที่พวกเขาเห็นว่าไร้ประสิทธิภาพ
ใบรับรองพลังงาน (Energy Certificates): ข้อเสนอที่ปฏิวัติวงการที่สุดคือการยกเลิกระบบเงินตราและระบบราคาทั้งหมด 22 มูลค่าของสินค้าและบริการจะไม่ได้ถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน แต่จะถูกคำนวณจาก "ปริมาณพลังงาน" ที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้นๆ 23 พลเมืองแต่ละคนจะได้รับ "ใบรับรองพลังงาน" ซึ่งไม่สามารถโอนให้กันได้ เพื่อใช้ในการรับส่วนแบ่งผลผลิตของทวีป ใบรับรองนี้จะมีวันหมดอายุเพื่อป้องกันการสะสมความมั่งคั่ง หนี้สิน และความเหลื่อมล้ำ 22
วิศวกรรมสังคมเชิงวิทยาศาสตร์: ระบบทั้งหมดถูกออกแบบมาให้เป็น "ศาสตร์แห่งวิศวกรรมสังคม" (science of social engineering) 22 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงสุดและกำจัดความสูญเปล่าให้หมดไป 23 ผ่านระบบอัตโนมัติและการวางแผนจากส่วนกลาง เพื่อรับประกันมาตรฐานการครองชีพที่สูงสำหรับพลเมืองทุกคน
นี่คือการนำแนวคิด "การบริหารจัดการสรรพสิ่ง" ของแซงต์-ซิมงมาทำให้เป็นรูปธรรมและลงรายละเอียดในระดับปฏิบัติการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ขบวนการนี้คือจุดสูงสุดเชิงตรรกะของแนวคิดเทคโนแครตที่พยายามจะเปลี่ยนสังคมให้กลายเป็นเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์
4.3 การรุ่งโรจน์และล่มสลายของขบวนการ
ในช่วงเวลาสั้นๆ ขบวนการเทคโนแครตได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีสมาชิกหลายแสนคน 27 และกลายเป็นหัวข้อถกเถียงที่ร้อนแรงในสังคมอเมริกัน มันสามารถดึงดูดจินตนาการของผู้คนที่สิ้นหวังกับวิกฤตเศรษฐกิจด้วยคำมั่นสัญญาถึงทางออกที่เป็นเหตุเป็นผลและเป็นวิทยาศาสตร์ 25
อย่างไรก็ตาม การล่มสลายของขบวนการก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยมีสาเหตุหลายประการ:
ความไร้เดียงสาทางการเมือง: ขบวนการประกาศตัวว่าจะ "ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง" (abstaining from all partisan politics) 22 ซึ่งทำให้พวกเขาขาดแผนการที่เป็นรูปธรรมในการเข้าสู่อำนาจเพื่อนำนโยบายของตนมาปฏิบัติจริง 25
ปัญหาความน่าเชื่อถือของผู้นำ: ความน่าเชื่อถือของโฮเวิร์ด สกอตต์ ผู้นำขบวนการ สั่นคลอนอย่างรุนแรงเมื่อมีการเปิดโปงว่าเขาได้บิดเบือนประวัติและวุฒิการศึกษาทางวิศวกรรมของตนเอง 25 นอกจากนี้ ขบวนการยังแตกออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ที่ขัดแย้งกันเอง 22
ความกลัวระบอบอำนาจนิยม: นักวิจารณ์จำนวนมากแสดงความกังวลว่าการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจะนำไปสู่ระบอบเผด็จการรูปแบบใหม่ที่ปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลจากประชาชน 24 นอกจากนี้ แนวคิดบางส่วนของขบวนการยังมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับฟาสซิสต์และสุพันธุศาสตร์ (eugenics) ซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากตีตัวออกห่าง 27
การผงาดขึ้นของนโยบาย New Deal: การเกิดขึ้นของนโยบาย New Deal ภายใต้การนำของประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ได้เสนอทางออกจากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงน้อยกว่า แต่ยังคงอาศัยความเชี่ยวชาญของคณะที่ปรึกษา (Brain Trust) และดำเนินการภายใต้กรอบของระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่ 22 นโยบาย New Deal สามารถตอบสนองความต้องการการเปลี่ยนแปลงของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ข้อเสนอที่ถึงรากถึงโคนของขบวนการเทคโนแครตดูสุดโต่งและไม่จำเป็นอีกต่อไป
ความล้มเหลวของขบวนการเทคโนแครตได้เผยให้เห็นถึง "ปฏิทรรศน์แห่งเทคโนแครต" (The Technocratic Paradox) นั่นคือ เพื่อที่จะสถาปนารัฐที่ "ไร้การเมือง" และบริหารจัดการด้วยหลักวิทยาศาสตร์ พวกเขาจำเป็นต้องอาศัย "การกระทำทางการเมือง" อย่างมหาศาลในระดับปฏิวัติเพื่อโค่นล้มระบบเก่าเสียก่อน การยืนกรานที่จะอยู่ "เหนือการเมือง" ของขบวนการจึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุด พวกเขาต้องการจะออกแบบสังคมใหม่โดยไม่ยอมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการทางการเมืองอันยุ่งเหยิงของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความยินยอมและสั่งสมอำนาจเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงนั้น ปฏิทรรศน์นี้ยังคงเป็นปัญหาที่ท้าทายแรงขับเคลื่อนแบบเทคโนแครตในยุคปัจจุบัน ที่มักจะนำเสนอทางออกทางเทคนิคโดยประเมินความท้าทายทางการเมืองและสังคมของการนำไปปฏิบัติให้เกิดผลจริงต่ำเกินไป
ส่วนที่ 5: บทสรุป - มรดกที่ยังคงอยู่และเสียงสะท้อนในยุคสมัยใหม่
การเดินทางของแนวคิดเทคโนแครตตั้งแต่รากฐานทางปรัชญาในยุคกรีกโบราณจนถึงการก่อตัวเป็นขบวนการทางสังคมในศตวรรษที่ 20 เผยให้เห็นถึงวิวัฒนาการที่น่าทึ่งของการแสวงหา "การปกครองโดยผู้ทรงความรู้" แม้ว่าขบวนการเทคโนแครตในรูปแบบดั้งเดิมจะเสื่อมสลายไปแล้ว แต่ "แรงขับเคลื่อนแบบเทคโนแครต" (technocratic impulse) กลับยังคงทรงพลังและปรากฏให้เห็นในหลากหลายรูปแบบในสังคมศตวรรษที่ 21
5.1 การสังเคราะห์วิวัฒนาการของแนวคิด
เส้นทางอันยาวไกลของแนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนิยามของ "ผู้เชี่ยวชาญ" ผู้คู่ควรแก่การปกครอง ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงแหล่งที่มาของอำนาจทางปัญญาในอารยธรรมตะวันตก จากอภิปรัชญาสู่เทคนิควิทยา และจากปรัชญาศีลธรรมสู่เหตุผลเชิงเครื่องมือ (instrumental reason) วิวัฒนาการนี้สามารถสรุปและเปรียบเทียบได้ดังตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1: การวิเคราะห์เปรียบเทียบอุดมการณ์เทคโนแครต
คุณลักษณะ
ราชาปราชญ์ของเพลโต
สภาอุตสาหกรรมของแซงต์-ซิมง
เดอะเทคโนแครต ทศวรรษ 1930
ฐานอำนาจ
ความรู้ทางศีลธรรมและอภิปรัชญา (แบบแห่งความดี)
ความสามารถในการผลิตและความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและวิศวกรรม
เป้าหมายหลัก
ความยุติธรรม ความสามัคคี และความดีงามทางศีลธรรมของรัฐ
การเพิ่มผลผลิตทางอุตสาหกรรมและสวัสดิภาพสังคมให้สูงสุด
การเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด การกำจัดความสูญเปล่า และการกระจายความอุดมสมบูรณ์
ธรรมชาติของ 'ความรู้'
ความจริงที่เป็นนามธรรม ไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นสากล (episteme)
หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ประยุกต์ใช้กับการจัดระเบียบสังคม
ข้อมูลเชิงประจักษ์ มาตรวัดพลังงาน หลักการทางวิศวกรรม
มุมมองต่อมหาชน
ผู้ขาดความรู้ ถูกขับเคลื่อนด้วยความปรารถนา (doxa) และต้องการการชี้นำ
แหล่งแรงงานในการผลิต ซึ่งต้องถูกนำทางเพื่อประโยชน์ของตนเอง
ผู้บริโภคภายในระบบที่มีการจัดการ ซึ่งต้องได้รับการจัดสรรปัจจัยยังชีพ
ระบบเศรษฐกิจ
ระบบคอมมูนสำหรับชนชั้นผู้พิทักษ์; ทรัพย์สินส่วนตัวสำหรับชนชั้นผู้ผลิต
เศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่มีการวางแผนและ "บริหารจัดการ" (สังคมนิยมยุคแรก)
ระบบที่ไม่ใช้กลไกตลาด โดยอิงกับ "ใบรับรองพลังงาน"
บทวิพากษ์ต่อสภาพที่เป็นอยู่
ประชาธิปไตยคือการปกครองของมวลชนที่วุ่นวายและถูกชักจูงโดยนักปลุกระดม
ระบบศักดินาและการเมืองเป็นกาฝากและไร้ซึ่งผลิตภาพ
"ระบบราคา" (ทุนนิยม) นั้นสิ้นเปลืองและไร้เหตุผล
ตารางนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความต่อเนื่องของแนวคิดหลัก—ความไม่ไว้วางใจในการปกครองโดยมหาชนและความเชื่อมั่นในความจำเป็นของการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญ—ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตัวตนของผู้เชี่ยวชาญและประเภทของความรู้ที่พวกเขานำมาใช้เป็นฐานแห่งอำนาจ
5.2 แรงขับเคลื่อนแบบเทคโนแครตในศตวรรษที่ 21
แม้ขบวนการเทคโนแครตอย่างเป็นทางการจะไม่มีอยู่อีกต่อไป แต่จิตวิญญาณของมันกลับแทรกซึมอยู่ในโครงสร้างอำนาจและกระแสความคิดของโลกสมัยใหม่ แรงขับเคลื่อนนี้ปรากฏให้เห็นในปรากฏการณ์ต่างๆ ดังนี้:
ชนชั้นนำแห่งเทคโนโลยี (The Tech Elite): ความเชื่อมั่นที่แพร่หลายในซิลิคอนแวลลีย์ว่าเทคโนโลยีคือพลังขับเคลื่อนการปฏิวัติที่แท้จริง และปัญหาสังคมที่ซับซ้อนสามารถ "แก้ไข" ได้ด้วยวิศวกรรมและข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยมักมองว่ากระบวนการทางประชาธิปไตยนั้นไร้ประสิทธิภาพและเป็นอุปสรรค 27 ความเชื่อมโยงทางสายเลือดของบุคคลอย่างอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซึ่งมีคุณตาเป็นบุคคลสำคัญในขบวนการเทคโนแครตของแคนาดา ยิ่งตอกย้ำถึงการสืบทอดทางความคิดนี้ 24
ธรรมาภิบาลโลก (Global Governance): บทบาทที่เพิ่มขึ้นของผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารกลาง, กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF), และองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งทำการตัดสินใจเชิงนโยบายที่สำคัญโดยอาศัยแบบจำลองทางเศรษฐกิจและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ การตัดสินใจเหล่านี้มักอยู่นอกเหนือการควบคุมโดยตรงของระบอบประชาธิปไตยในระดับชาติ
การเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Politics): การพึ่งพาข้อมูลขนาดใหญ่, อัลกอริทึม, และ "วิศวกรรมสังคม" มากขึ้นเรื่อยๆ ในการบริหารจัดการประชากรและกำหนดนโยบายสาธารณะ ซึ่งสะท้อนเป้าหมายหลักของเทคโนแครตในการวัดปริมาณและปรับปรุงความสัมพันธ์ทางสังคมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 27
ท้ายที่สุด ประวัติศาสตร์ของแนวคิดเทคโนแครตได้ทิ้งคำถามสำคัญที่ยังคงไม่มีคำตอบที่สมบูรณ์ไว้ให้แก่ยุคสมัยของเรา นั่นคือ สังคมสมัยใหม่จะสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของความรู้ความเชี่ยวชาญ โดยไม่สูญเสียความชอบธรรมทางประชาธิปไตยและคุณค่าทางศีลธรรมที่โลกทัศน์ทางเทคนิคล้วนๆ อาจมองข้ามไปได้อย่างไร ความตึงเครียดระหว่าง เอพิสเตเม ของเพลโต (ความรู้ของผู้เชี่ยวชาญ) กับ ด็อกซา (ความคิดเห็นของพลเมือง) ยังคงเป็นความท้าทายใจกลางที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขของการปกครองสมัยใหม่
ผลงานที่อ้างอิง
BRIA 19 4 c Plato and The Republic - Online Lessons - Bill of Rights ..., เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://teachdemocracy.org/bill-of-rights-in-action/bria-19-4-c-plato-and-the-republic
How Did Socrates View Democracy? - TheCollector, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.thecollector.com/how-did-socrates-view-democracy/
เปรียบเทียบแนวคิดเรื่องธัมมิกราชาและราชาปราชญ์, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://doi.nrct.go.th/admin/doc/doc_545581.pdf
Was Plato really Against Democracy? : r/askphilosophy - Reddit, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.reddit.com/r/askphilosophy/comments/16op3dy/was_plato_really_against_democracy/
Socrates, the first critic of Democracy: "Foolish leaders of Democracy, which is a charming form of government, full of variety and disorder, and dispensing a sort of equality to equals and unequaled alike." He believed that not everyone has right to vote. He saw voting as a skill acquired by wisdom : r/ - Reddit, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.reddit.com/r/philosophy/comments/mmvu8m/socrates_the_first_critic_of_democracy_foolish/
The State is Like a Ship: on Plato's Critique of the Athenian ..., เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://adastrapermundum.com/2019/04/21/the-state-is-like-a-ship-on-platos-critique-of-the-athenian-democracy/
อุดมรัฐของเพลโต สู่สังคมในอุดมคติ - ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/download/4419/3361/35387
เอกสารประกอบวิชาปรัชญาการเมืองตะวันตก - มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.mcu.ac.th/article/detail/14242
อุตมรัฐ – ปรัชญาภาษา, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://philoflanguage.wordpress.com/tag/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90/
อำนาจในมุมมองของนักปราชญ์ (2) : เพลโต-อำนาจควรอยู่ในมือนักปราชญ์ แต่ระวังการเป็นทรราช / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket - ผู้จัดการออนไลน์, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://mgronline.com/daily/detail/9660000087993
ศึกษาแนวคิดปรัชญาทางการเมืองของเพลโต01* A Study of The C - thaijo.org, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/download/241966/171136
Philosophy in Scientific Revolution – Science, Technology, and Society, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://web.colby.edu/st112a-fall20/2020/09/12/philosophy-in-scientific-revolution/
The Evolution of Knowledge and Science and Evolution - planksip, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.planksip.org/the-evolution-of-knowledge-and-science-and-evolution-1760266524842/
Chapter 4: The Scientific Revolution – Europe Since 1600: A Concise History, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://colorado.pressbooks.pub/europesince1600concise/chapter/chapter-4-the-scientific-revolution/
Scientific Revolution | Definition, History, Scientists, Inventions, & Facts | Britannica, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.britannica.com/science/Scientific-Revolution
Henri de Saint-Simon | Research Starters - EBSCO, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.ebsco.com/research-starters/history/henri-de-saint-simon
THE POLITICAL THOUGHT OF SAINT-SIMON, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://ia902900.us.archive.org/13/items/in.ernet.dli.2015.130352/2015.130352.The-Political-Thought-Of-Saint-Simon.pdf
Henri de Saint-Simon | French Social Reformer & Philosopher ..., เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.britannica.com/biography/Henri-de-Saint-Simon
Henri de Saint-Simon - Wikipedia, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://en.wikipedia.org/wiki/Henri_de_Saint-Simon
Saint-Simon's utopian vision - (AP European History) - Vocab, Definition, Explanations, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://fiveable.me/key-terms/ap-euro/saint-simons-utopian-vision
Saint-Simon's Political History of Industry - UT liberal arts, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 http://la.utexas.edu/users/hcleaver/368/368simonhistindus.html
Technocracy movement - Wikipedia, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://en.wikipedia.org/wiki/Technocracy_movement
Technocracy Movement | Encyclopedia.com, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.encyclopedia.com/history/dictionaries-thesauruses-pictures-and-press-releases/technocracy-movement
A 1930s movement wanted to merge the US, Canada and Greenland. Here's why it has modern resonances | University of Portsmouth, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.port.ac.uk/news-events-and-blogs/blogs/academic-expertise/a-1930s-movement-wanted-to-merge-the-us-canada-and-greenland-heres-why-it-has-modern-resonances
Full article: A non-conforming technocratic dream: Howard Scott's technocracy movement, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/17449359.2024.2343657
Technocracy | Modern Movement, Social Engineering & Scientific Management | Britannica, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.britannica.com/topic/technocracy
A look into the forgotten Technocracy movement of the 1930s and how it predicted Silicon Valley's worldview : r/Futurology - Reddit, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.reddit.com/r/Futurology/comments/1n5n5ha/welcome_to_the_technocracy_a_look_into_the/