วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ไม่มีผลไม้ใดออกผลในกาสิโน

 
The beautiful Duchess throwing a Main.
By Rowlandson.







ไม่มีผลไม้ใดออกผลในกาสิโน

ในที่นี้หมายถึง กาสิโนไม่ได้สร้างผลผลิตเหมือนแปลงการเกษตร
ไม่ได้สร้างสิ่งใดเหมือนกับโรงงานหรืองานฝีมือ
เพียงแค่เอาเงินจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง

คุณค่าของกาสิโน
สำหรับนักการเมืองทุจริต อาจเป็นแหล่งฟอกเงิน*
หรือเป็นการดึงเงินจากคนหมู่มากมาให้เจ้าของกาสิโน

ถ้าทุกเมือง ทุกหมู่บ้านทั่วโลกมีแต่กาสิโน
เราก็จะเสียพื้นที่ เสียกำลังคน
ที่เคยสร้างสรรค์การผลิตหรือการเกษตร สร้างอาหาร
ไปกับกาสิโนที่ไม่ได้สร้างอะไรเลย

กาสิโน ถ้ามีแค่ที่เดียว เมืองเดียว ประเทศเดียว
ก็ยังคงเป็นการดึงเงินจากคนอื่นมา — แต่ก็ไม่ได้สร้างสิ่งใดอยู่ดี

แล้วถ้าทุกเมือง ทุกหมู่บ้านมีกาสิโน
มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า... ต่อโลกนี้?

 

 *6วิธี ฟอกเงินผ่านบ่อน กาสิโน: กลโกงสกปรกของนักการเมืองคอร์รัปชัน ที่ทำได้จริง(และทำกันทั่วโลก)

 

อันนี้ผมใช้ AI แก้ไข โดยใช้บทความของผมเป็นแบบ  

[AI] กาสิโนไม่ได้ "สร้าง" แต่ "ย้าย": ผลเสียของการพนันในเชิงเศรษฐศาสตร์และสังคม

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องการเปิดกาสิโนในประเทศไทยกลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง โดยมีเหตุผลหนึ่งที่มักถูกหยิบยกคือ "ประเทศเพื่อนบ้านเรามีกาสิโนแล้ว เราไม่น่าจะตกขบวน"

แต่อย่างที่ควรถามกันให้ลึกขึ้นคือ—แล้วเราได้อะไร?
และที่สำคัญกว่า: ใครได้?

กาสิโนในเชิงเศรษฐศาสตร์: ไม่ได้ "สร้าง" แต่ "ย้าย"

นี่คือจุดสำคัญที่มักถูกมองข้าม — กาสิโนไม่ได้สร้างความมั่งคั่งใหม่ให้สังคม แต่เพียงแค่ "โยกย้าย" ทรัพย์สินจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่ง โดยมีเจ้าของกาสิโนเป็นคนได้มากที่สุดเสมอ

เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองพิจารณาความแตกต่างระหว่าง 3 รูปแบบของ "เกม" ทางเศรษฐศาสตร์:

1. เกมผลรวมเป็นศูนย์ (Zero-Sum Game)

เช่น การเล่นไพ่ในวงกับเพื่อน ๆ
เงินที่คนแพ้เสียไป เท่ากับเงินที่คนชนะได้มา
เงินไม่หายไปไหน แค่เปลี่ยนมือ

2. เกมผลรวมเป็นลบ (Negative-Sum Game)

นี่คือสิ่งที่เกิดในกาสิโน
เพราะนอกจากมีผู้ชนะและผู้แพ้ ยังมี "เจ้ามือ" ที่หักค่าต๋ง หรือใช้อัตราต่อรองที่ได้เปรียบตลอด
เงินที่คนเล่นเสียรวมกัน > เงินที่ผู้ชนะได้รับ
ส่วนต่างนั้นกลายเป็นกำไรของกาสิโน
ดังนั้นการพนันในกาสิโนจึงไม่ใช่แค่ย้ายเงินจากผู้แพ้ไปหาผู้ชนะ แต่คือการ ดูดเงินจากคนหมู่มาก ไปให้เจ้าของกาสิโนและผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ

3. เกมผลรวมเป็นบวก (Positive-Sum Game)

ตรงข้ามกับกาสิโน การลงทุนในเกษตรกรรม การศึกษา งานวิจัย หรือนวัตกรรม
จะสร้างคุณค่าที่มากกว่าทรัพยากรที่ลงไป เช่น ปลูกข้าวได้ข้าว ขุดเจาะน้ำมันได้พลังงาน พัฒนาซอฟต์แวร์ได้เครื่องมือใหม่ ๆ
นี่คือสิ่งที่ "สร้าง" ความมั่งคั่งแท้จริง

แล้วเราควรเดินตามเพื่อนบ้านหรือไม่?

บางคนชี้ว่า ประเทศรอบ ๆ ไทยมีกาสิโนกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ การเปิดในไทยเองอาจดึงนักพนันกลับมาใช้จ่ายในประเทศ
ฟังดูมีเหตุผลในระดับผิวเผิน แต่ ผลประโยชน์จะตกอยู่กับใคร?

ในทางปฏิบัติ กาสิโนคือเครื่องมือที่คนกลุ่มน้อยใช้สร้างกำไรจากคนจำนวนมาก
แม้จะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวบ้าง แต่เมื่อเทียบกับปัญหาที่ตามมา เช่น:

  • หนี้สินเรื้อรังในครัวเรือน

  • อาชญากรรมและการฟอกเงิน

  • ความเสื่อมถอยของแรงงานที่เคยอยู่ในภาคการผลิต

คำถามที่สำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า "จะเปิดกาสิโนไหม"
แต่คือ "เราจะเลือกสังคมแบบไหน?"

สรุป

กาสิโนไม่ได้ "สร้าง" อะไรใหม่ในระบบเศรษฐกิจ
มันแค่ "ย้าย" ความมั่งคั่งจากคนจำนวนมาก ไปสู่มือของคนจำนวนน้อย

หากเราต้องการระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ยุติธรรม และมีคุณค่าแท้จริง การพึ่งพากาสิโนก็อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ควรเดินตาม แม้จะมีเพื่อนบ้านชวนไปก็ตาม


 บทความด้านบน ได้จาก AI โดยใช้บทควมมของผม เป็นต้นแบบ

บทความดั้งเดิมจากผม 

ไม่มีผลไม้ใดออกผลในกาสิโน ในที่นี้หมายถึงกาสิโน ไม่ได้สร้าง ผลผลิต เหมือน แปลงการเกษตร ไม่ได้สร้างสิ่งใด เหมือนกับโรงงาน หรืองานฝีมือ แค่เอาเงินจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่ง

คุณค่ากาสิโน สำหรับนักการเมืองทุจริจ อาจจะเป็นแหล่งฟอกเงิน หรือ เป็นการดึงเงินจากคนหมู่มาก มาให้เจ้าของกาสิโน ถ้าทุกเมืองทุกหมู่บ้านทั่วโลกมีแต่กาสิโน เราก็จะเสียพื้นที่เสียกำลังคน ที่เคยสร้างสรรค์การผลิต หรือ การเกษตร สร้างอาหาร ไปกับกาสิโนที่ไม่ได้สร้างอะไร 

กาสิโน ถ้ามีแค่ที่เดียว เมืองเดียวประเทศเดียว ก็จะเป็นการดึงเงินจากคนอื่นมา แต่ก็ไม่ได้สร้างสิ่งใดอยู่ดี

แล้วถ้า ทุกเมืองทุกหมู่บ้านมีกาสิโน มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า ต่อโลก

AI เขียน จาก บทความผม

 




วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2568

รีวิว สายชาร์ต iphone se KUULAA ถูก กับ กลางๆ กับ แพง แท้

 เอาละ เริ่มตนผมใช้ iphone se 2 แล้วใช้สายแท้ 690 บาท ก็ใช้ได้นานจนสายออกสีเหลืองๆดำ

เสีย ต้นปีนี้ ก็หลายปี  อาการเสียก็คือ เสียบแล้ว ซักพัก มีเสียง ติ้งๆ แบบ ติดชาร์ต ไม่ติดชาร์ต สลับไปมา 

 วิธีแก้ แบบขอไปที กลับด้าน และ เสียบสุด แล้วดึงออกมานิดหนึ่ง

นั่นละ สรุป ก็ ใช้มานานหลายปี โดยใช้กับหัวชาร์ต 5v 1a แท้  มากับเครื่อง แต่เสียดายตอนนั้น น่าจะซื้อ iphone 11 มากกว่า แต่ผมดันซื้อ iphone se  128 มาแทน

 


 


 

ตอนนี้ยังมีขายใน apple 



โดยที่ ราคา หัวชาร์จ ตอนนั้น 690 บาท แต่ตอนนี้ไม่มีขายแล้ว จะบอกว่าแพงเท่าสาย  หรือจะบอกว่าสายแพงเท่าหัวชาร์จ ก็ได้ รวมคู่หนึ่ง 1,380 แพงจัดๆ 

 



 

 

 
โดยที่ซื้อสายถูกก่อน ซื้อแล้วไม่มาซักที เลยไปอ่านรีวิว 1 ดาว แบบ เอิม ไม่น่าใช้ เลยซื้อใหม่ เดียวอันนี้รีวิวหลังสุด 

 

แล้วผมก็ไปซื้อ สาย ของ ยูกรีน Ugreen 1M 20W PD Fast Charging USB Type C  มาแพง นึกว่าลดแล้ว แต่ ยังลดไม่สุด ผมซื้อ มา 318 บาท ค่าส่ง 38 บาท แต่วันนี้  02-มิถุนายน-2568  283บาท ถูกกว่า 11% โหย



 ราคาดีอยู่  และก็มี MFI แล้วก็ซื้อ หัวชาร์จ ยูกรีน มาอีกหนึ่ง    New UGREEN Uno RG 30W 1port 

อันนี้ชาร์จเร็วอยู่ (มั้ง) แต่เครื่องร้อนอุ่นๆ ก็ยังอยู่ในเกนต์ปกติ

โดยใช่คู่กัน  อันนี้มีรีวิวเยอะอยู่นะ 
ข้ามเลย 

มาสายถูก อยากแรกที่ผมเช็ค คือ มัน MFI จริงไหม  ถึงจะเป็นร้านทางการร้าน mall ก็ตามแต่ก็เช็คที่เว็บ  https://mfi.apple.com/account/accessory-search
มีชื่อ KUULAA หรา อยู่ 2หน้า 50 รายการ 


โดยที่ตัว ไฮไลท์อยู่คือตัว USB-C to L 

ส่วนตัว USB-A ไม่รู้รหัส แต่ก็มีอยู่  

และลองเทสตัว usb-a ก่อนเลย 


 ราคาถูกได้โล่

1.สายนุ่มดี ดูดี สีขาวเทา ชาร์จไฟเขา  

และไม่มี pop-up   แบบในภาพ ซึ่ง ผมเคยซื้อสายใน 7-11  ยี่ห้อ ASAKI (ไม่มี MFI) มันก็ไม่ขึ้นเหมือนกัน แต่นานแล้วผมอาจจะจำผิดก็ได้ ผมซื้อตอนผมเข้าโรงพยาบาล นะครับ 


ต่อมาการชาร์จ เริ่มต้นที่ 

เวลา 08:47  แบต 33% 
เวลา 09:12 แบต 59%
เวลา 09:23 แบต 71%
เวลา 09:58 แบต 87%
เวลา 10:11 แบต 91%
เวลา 10:32 แบต 95%
 
กราฟการชาร์จ ของสาย kuulaa กับ หัว 5วัตต์

 ต่อมา สาย

KUULAA ได้รับการรับรองจาก Apple MFi สายเคเบิล PD30W Type C เป็น Lightning สําหรับ iPhone 14 13 12 pro max

สายนี้ยังไม่เทส แต่ดูรีวิว มี5ดาว หมืนสาม และ 1ดาว 109 คน ดูแล้วแย่อยู่  


เดาว่ารีวิว เป็นแบบนี้แสดง ว่า อาจจะมีของเสีย คือ สเป็คดีแต่มีของเสียเยอะ หรือ QC ไม่ดี ก็เป็นปกติ ของของจีนถูกๆ แบบ ปกติ 1000 ชิ้น จะเสีย 3-15 ชิ้น แต่ของที่ QC ไม่ดี 1000 ชิ้น อาจจะเสีย 10-30 ชิ้น 

โดยสรุปจากรีวิว (แต่บางคนได้ของเสียไปอาจจะแค่ทิ้ง แล้วไม่มารีวิวก็ได้ หรือ รีบรีวิว ก่อนที่จะเสียก็ได้ ) 

คำนวนจากรีวิว โดยให้ 4-5 ดาว ถือว่าดี 1-3ดาว ถือว่าไม่ดี หรือเสีย

คิดเป็นของเสีย ของตก QC 2.15% 

แล้ว ตอนนี้ผมก็ยังไม่ใช้เพราะไม่มีความจำเป็นเพราะผมมีสาย ของยูกรีน Ugreen 1M 20W PD Fast Charging USB Type C อยู่ ก็เลยไม่จำเป็น ต้องใช้สายของ KUULAA  C to L ก็เลยยังไม่รีวิว
แต่มีคนเวียดนาม เทสสาย รีวิว ตอนปี 2023-06  มันบอกว่า  Imitation ก็แปลว่าของเลียนแบบ ทั้งที่มันเป็น ชิป C94 
แล้วผู้ผลิตคือ  JAE (Japan Aviation Electronics Industry)   ผลิด วันที่ 2022-08-25












 


วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

6วิธี ฟอกเงินผ่านบ่อน กาสิโน: กลโกงสกปรกของนักการเมืองคอร์รัปชัน ที่ทำได้จริง(และทำกันทั่วโลก)

https://sumsub.com/blog/the-6-most-popular-forms-of-money-laundering-in-casinos/
 

https://sumsub.com/blog/the-6-most-popular-forms-of-money-laundering-in-casinos/

🎰 6 วิธีฟอกเงินยอดนิยมในคาสิโน: ช่องโหว่ที่ยังคงถูกใช้ซ้ำ by chart gpt

คาสิโนเป็นเป้าหมายหลักของการฟอกเงิน เนื่องจากมีการหมุนเวียนเงินสดจำนวนมากและระบบตรวจสอบที่อาจไม่เข้มงวดพอ ทำให้ผู้กระทำผิดสามารถแปลง "เงินสกปรก" ให้ดูเหมือน "เงินถูกกฎหมาย" ได้อย่างแนบเนียน

1. แลกชิปแล้วแลกคืน (Cash-in, Cash-out)

ผู้ฟอกเงินนำเงินสดที่ได้จากกิจกรรมผิดกฎหมายมาแลกเป็นชิปในคาสิโน จากนั้นเล่นเพียงเล็กน้อยหรือไม่เล่นเลย แล้วนำชิปไปแลกคืนเป็นเงินสด เช็ค หรือโอนผ่านธนาคาร ทำให้ดูเหมือนว่าเงินดังกล่าวเป็นรายได้จากการพนันที่ถูกกฎหมาย Sumsub

2. เล่นพนันร่วมกับผู้อื่น (Peer-to-Peer Gambling)

ผู้กระทำผิดร่วมมือกับผู้เล่นอื่น โดยตั้งใจ "แพ้" หรือมอบชิปให้กันและกัน เพื่อสร้างภาพว่ามีการเล่นพนันจริง และทำให้เงินที่ได้ดูเหมือนเป็นรายได้จากการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย Sumsub

3. โมเดลแวนคูเวอร์ (The Vancouver Model)

เป็นกรณีศึกษาจากแคนาดา ซึ่งกลุ่มอาชญากรเสนอให้ลูกค้าจีนโอนเงินเข้าบัญชีในจีน แล้วรับเงินสดในแวนคูเวอร์ จากนั้นนำเงินสดไปใช้ในคาสิโน ทำให้เงินที่ได้จากกิจกรรมผิดกฎหมายดูเหมือนเป็นรายได้จากการพนัน Sumsub

4. ซื้อชิปจากผู้อื่น (Buying Someone Else’s Chips)

ผู้ฟอกเงินซื้อชิปจากผู้เล่นที่มีชิปอยู่แล้ว โดยไม่ผ่านกระบวนการแลกชิปปกติ ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบและบันทึกธุรกรรมได้

5. ใช้บัญชีพนันเป็นธนาคาร (Using Gambling Accounts as Banks)

ผู้กระทำผิดฝากเงินไว้ในบัญชีพนันออนไลน์หรือบัญชีคาสิโน แล้วถอนออกในภายหลัง ทำให้เงินที่ได้ดูเหมือนเป็นเงินจากกิจกรรมการพนันที่ถูกกฎหมาย Sumsub

6. ผสมผสานวิธีการ (Combining Gambling and Non-Gambling Methods)

ผู้ฟอกเงินใช้วิธีการหลายรูปแบบร่วมกัน เช่น การใช้ธุรกิจที่รับเงินสดจำนวนมากร่วมกับคาสิโน เพื่อทำให้การฟอกเงินซับซ้อนและยากต่อการตรวจสอบ Sumsub


ฟอกเงินผ่านบ่อน: กลโกงสกปรกของนักการเมืองคอร์รัปชัน

ในเงามืดของอำนาจและผลประโยชน์ มี “เงินสกปรก” จำนวนมหาศาลที่นักการเมืองทุจริตพยายามซุกซ่อนและล้างให้ดูสะอาด — หนึ่งในช่องทางยอดนิยมคือ “บ่อนคาสิโน”

แม้หลายคนจะนึกถึงบ่อนผิดกฎหมายเป็นหลัก แต่ความจริงแล้ว การฟอกเงินที่ได้ผลจริง มักอาศัย บ่อนที่ถูกกฎหมายหรือมีลักษณะกึ่งถูกกฎหมาย เพื่อทำให้เงินดูถูกต้องในสายตากฎหมายและธนาคาร

กลไกการฟอกเงินผ่านบ่อนที่ถูกกฎหมาย

  1. นำเงินทุจริตแลกชิปในคาสิโน
    ใช้เงินสดจำนวนมาก (ที่มาจากการกินหัวคิว โครงการรัฐ หรือใต้โต๊ะ) แลกเป็นชิปในบ่อนที่ถูกกฎหมาย

  2. เล่นพอเป็นพิธี หรือแทบไม่เล่นเลย
    ชิปเหล่านั้นอาจถูกใช้เล่นเล็กน้อย หรือไม่แตะเลย ก่อนนำไปแลกคืน

  3. แลกคืนเป็นเช็คหรือโอนเข้าบัญชี
    บ่อนออกเอกสารรับรองว่า “เงินได้จากการพนัน” จากนั้นนำเงินนี้กลับเข้าสู่ระบบการเงินอย่างถูกต้อง

  4. ใช้เงินนี้ลงทุน-ใช้จ่ายแบบไม่ผิดสังเกต
    เมื่อดูเหมือนถูกกฎหมายแล้ว เงินจึงถูกนำไปซื้อบ้านหรู หุ้น หรือส่งต่อให้เครือญาติ

ความเลวร้ายที่มากกว่าการโกง คือการ “ลบหลักฐาน รอยเท้า การทุจริต”

การฟอกเงินไม่ใช่แค่การซ่อนเงิน แต่คือการ ลบหลักฐานของอาชญากรรม ทำให้ผู้ทุจริตสามารถใช้ชีวิตอย่างลอยนวล และกลับมาใช้อำนาจทำร้ายสังคมได้อีก

มันคือวงจรอุบาทว์:

คอร์รัปชัน → ฟอกเงิน → สะสมอำนาจ → คอร์รัปชันซ้ำ

ทำไมเราต้องสนใจ?

เพราะเงินที่ควรไปสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน หรือถนน กลับถูกเปลี่ยนเป็นชิปในบ่อน
เพราะเด็กที่ขาดทุนการศึกษา อาจถูกหลอกใช้เป็น “ม้า” ขนเงินสกปรก
และเพราะคนโกงบางคน กลายเป็น “คนดี” ในสายตาประชาชน เพียงเพราะพวกเขาฟอกเงินเก่ง


หากสังคมยังนิ่งเฉยกับการฟอกเงินของนักการเมืองคอร์รัปชัน เราอาจไม่ได้แค่เสียเงิน — เรากำลังเสียอนาคต

 



วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อย่า ใช้ VPN+TOR เพราะ ไม่ปลอดภัย จริงๆหรือ ?

 

 

วันนี้เลือนไปเจอคลิปนี้  https://www.youtube.com/watch?v=y8bIt4K_Kfo ก็เลยสนใจเข้าไป ดู สรุปว่า 

การใช้ VPN คือ จุดอ่อน ของระบบ ความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว  แนะนำให้ ใช้ Tor อย่างเดียว หรือ ใช้ คู่กับ  Tor Bridges หรือ Pluggable Transports แทนการใช้ VPN 
โดยช่อง  Mental Outlaw  ผู้ติดตาม 7.27 แสน



แต่ก็มีการโต้แย้งจากช่อง Jonah Aragon ผู้ติดตาม 4.56 พัน คน


https://www.youtube.com/watch?v=vo22D-dUeCA

 โดยที่  มองว่าใน threat model บางกรณี (เช่น ต้องการซ่อนการใช้ Tor จาก ISP หรือกลุ่ม adversary ควบคุมโหนด guard) การใช้ VPN → Tor มีประโยชน์ชัดเจน แม้ต้องแลกกับความไว้วางใจ VPN เพิ่มเติม

เอาละจากที่ฟัง ทั้งสองคนถูกต้อง   การดู ทั้งสองฝ่ายถือเป็นการเติมเต็มข้อมูลกันและกัน
อันนี้ Poipoi สรุปเลยนะ จากที่ดูแล้ว ต้องถามตัวเองว่า ว่าจะปกป้องตัวเองจากอะไร 

สิ่งที่ คนปกติควรระวัง คือ แฮ็กเกอร์ และมิจฉาชีพ  ดังนั้นการใช้ VPN ช่วยได้  จากที่ Aragon  บอก

แต่ถ้า คุณเป็น แฮ็กเกอร์ และมิจฉาชีพ  การ ใช้ VPN จะเป็นจุดอ่อน  เพราะการร้องข้อ ตามกฎหมาย จากที่ Mental Outlaw  บอก 

 

 และที่สำคัญ ผม กาก ภาษาอังกฤษ ผมตกภาษาอังกฤษ 3 รอบกว่าจะผ่าน นะครับ ดังนั้นควรแปลเอง จะได้ข้อมูลที่ตรง และครบถ่วนมากกว่า

 รายละเอียดเพิ่มเติม จาก ChatGPT


คลิป “Stop Using Tor With VPNs” โดย Mental Outlaw (ลงเมื่อประมาณ 1.5 ปีที่แล้ว ยอดวิวกว่า 1 ล้านครั้ง) พูดถึงข้อควรระวังในการใช้ VPN ก่อนเชื่อมต่อกับเครือข่าย Tor และทำไมวิธีนี้จึงไม่แนะนำในหลายสถานการณ์ (YouTube, Techlore Forum)

สาเหตุหลักที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ VPN → Tor

  1. เพิ่มจุดล้มเหลว (attack surface) ในโซ่การเชื่อมต่อ
    การเพิ่มชั้น VPN เข้าไปก่อนเข้า Tor กลายเป็นการเพิ่ม “จุดศูนย์วิเคราะห์” ให้กับกระบวนการทั้งหมด และหาก VPN มีบั๊กหรือรั่วไหล ก็อาจนำไปสู่การเปิดเผยตัวตนได้ง่ายขึ้น (Information Security Stack Exchange, Reddit)

  2. แทนที่ Tor Entry Guard ของคุณด้วยเซิร์ฟเวอร์ VPN เพียงตัวเดียว
    Tor ออกแบบให้สลับใช้ entry guard หลายตัวเพื่อกระจายความเสี่ยง แต่ถ้าวาง VPN เป็น guard ก่อนเข้า Tor ทุกครั้ง ก็เท่ากับยึดจุดเข้าเพียงจุดเดียว ลดประสิทธิภาพการป้องกันการโจมตีแบบ correlation attack (Whonix Forum)

  3. ต้องไว้ใจผู้ให้บริการ VPN มากขึ้น
    เมื่อใช้ VPN ก่อน Tor ผู้ให้บริการ VPN จะเห็น IP จริงของคุณ และรู้ว่าคุณกำลังใช้งาน Tor อยู่ด้วย ถ้า VPN เก็บ log หรือถูกเจาะ ความเป็นนิรนามของคุณก็จะพังทั้งระบบ (Reddit, Reddit)

  4. ไม่เพิ่มความปลอดภัยให้กับ Tor Browser traffic
    Tor Browser ถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการตรวจจับและลดการรั่วไหลของข้อมูลภายในตัวเองอยู่แล้ว การใส่ VPN เพิ่มจึงไม่ได้เสริมความปลอดภัยแก่ทราฟฟิกของ Tor Browser เลย (Reddit, YouTube)

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • หากต้องการซ่อนการใช้งาน Tor จาก ISP หรือเครือข่ายภายนอก ควรใช้ Tor Bridges หรือ Pluggable Transports แทนการใช้ VPN เพราะถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับเลี่ยงการบล็อกและลด fingerprinting โดยไม่เปลี่ยนโครงสร้างเครือข่ายภายในของ Tor (Techlore Forum)

สรุปคือ การใช้ VPN ก่อนเข้า Tor มักให้ประโยชน์น้อย ค่าเสี่ยงกลับสูง และแทบไม่ช่วยเพิ่มความเป็นนิรนามเหนือ Tor Browser เดิม ๆ เลยครับ


ความคิดเห็นในกระทู้นี้สะท้อนมุมมองหลักๆ เกี่ยวกับการใช้ VPN ร่วมกับ Tor ได้ดังนี้:

  1. การซ่อน IP จากหน่วยงานรัฐ (Feds)

    • ถ้าใช้ VPN → Tor หน่วยงานรัฐจะเห็นเพียง IP ของเซิร์ฟเวอร์ VPN เท่านั้น พวกเขาจะต้องออกหมายศาลไปขอข้อมูลผู้ใช้จากผู้ให้บริการ VPN ก่อน จึงจะรู้ “IP จริง” ของคุณ แต่ถ้าไม่ใช้ VPN ก็จะเห็น IP จริงของคุณเลยทันที 

    • ข้อสังเกต: การใช้ VPN เป็นเพียงการเลื่อนขั้นตอนให้ยากขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใช่การปิดบังภาพรวมทั้งหมด เพราะท้ายที่สุดก็ต้องให้ VPN ยอมเปิดเผยข้อมูลตามกฎหมายอยู่ดี

  2. ข้อมูลที่ VPN อาจเก็บไว้

    • นอกเหนือจาก IP และ timestamp บางเจ้าอาจเก็บ ชื่อผู้ใช้, ที่อยู่อีเมล, หรือ ข้อมูลการชำระเงิน (เช่นบัตรเครดิต, PayPal, cryptocurrency) ซึ่งสามารถใช้ชี้ตัวคุณได้มากกว่าแค่ IP 

    • แม้ผู้ให้บริการบางราย (เช่น Mullvad) จะโฆษณาว่าไม่เก็บ log ใดๆ แต่คุณก็ต้องมั่นใจในนโยบายความเป็นส่วนตัวของเขาจริงๆ และตรวจสอบได้ว่าไม่มีใครบังคับให้ VPN เปลี่ยนนโยบายภายหลัง

  3. การ “โดดเด่น” (standing out)

    • ผู้ใช้บางคนเตือนว่า ถ้าคุณใช้ VPN ก่อนเข้า Tor ก็จะ “โดดเด่น” แตกต่างจากคนทั่วไปที่เข้า Tor โดยตรง เพราะทราฟฟิกจะมาจาก IP VPN แต่คนส่วนใหญ่เข้า Tor จาก IP บ้านตัวเอง 

    • การโดดเด่นอาจเป็นจุดสนใจให้เจ้าหน้าที่รัฐมาตรวจสอบมากขึ้น ต่างจากการเข้า Tor ธรรมดาที่ดูเหมือน “ผู้ใช้ Tor ปกติ”

  4. ความเข้าใจเรื่อง “edge node” vs “entry/exit node”

    • มีความสับสนในคำว่า “edge node” แต่ในระบบ Tor จะใช้คำว่า entry node (guard) และ exit node

    • VPN จะเห็นว่าคุณเชื่อมต่อกับ entry node เท่านั้น ไม่รู้ว่าข้อมูลคุณไหลออกจาก exit ไปไหนต่อ

  5. ทางเลือกอื่นๆ

    • แทนที่จะใช้ VPN ก่อน Tor ถ้าต้องการ “ซ่อนการใช้ Tor” หรือหลบการบล็อก ควรใช้ Tor Bridges หรือ Pluggable Transports ซึ่งออกแบบมาให้เลี่ยงการตรวจจับโดยไม่ลดความปลอดภัยของเครือข่าย Tor 


สรุป

  • ความคิดเห็นส่วนใหญ่ถูกต้องว่า VPN ก่อน Tor ช่วยเลื่อนขั้นตอนให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบได้ยากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงจากการต้อง “ไว้ใจ” ผู้ให้บริการ VPN แทนที่ ISP เดิม

  • หาก VPN เก็บ log จริง หรือเปลี่ยนนโยบายภายหลัง คุณก็อาจโดนเปิดเผยตัวตนได้ง่ายกว่าใช้ Tor ตรงๆ

  • สำหรับความเป็นนิรนามเต็มรูปแบบ การใช้ Tor แบบตรงๆ หรือใช้ Tor Bridges จะเหมาะสมกว่า เพราะไม่ได้ไปเพิ่ม “จุดศูนย์ข้อมูล” ให้ต้องกังวลเรื่อง log และ subpoenas จาก VPN ครับ

 

Evaluating VPN with Tor use

First, I’ll introduce the context: Jonah Aragon (Privacy Guides) is responding to Mental Outlaw’s video, arguing that using VPN with Tor has benefits. His key points include: VPN hides Tor use, protects against malicious guard nodes, selecting a no-logs VPN is safer, VPN adds extra encryption, and it’s relevant depending on your threat model.

Next, I’ll evaluate these points, acknowledging I agree but noting the trade-offs, such as trust in VPNs and possible speed reduction. I'd also compare this to the first video’s opposing view.

Evaluating VPN with Tor's Trade-offs

Jonah acknowledges the trade-offs and emphasizes the importance of using VPN with Tor depending on the threat model. His argument works well for those who are concerned about ISP tracking or untrusted guard nodes, but the VPN could log or cooperate with agencies. Best practice seems to be using a reputable no-logs VPN when necessary, but for many, using pure Tor with bridges should be enough. Citations from the websites we have should be used for supporting this conclusion.

คิดเป็นเวลา 24 วินาที

สรุปภาพรวม

วิดีโอ “Yes, you should connect to Tor via a VPN” โดย Jonah Aragon เป็นการตอบโต้กับคลิปของ Mental Outlaw เรื่อง “Stop Using Tor With VPNs” โดยเน้นว่าการใช้โครงสร้าง VPN → Tor จะช่วยซ่อนการใช้ Tor จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ลดความเสี่ยงจากโหนด guard ปลอม และเพิ่มชั้นการเข้ารหัสอีกชั้น ก่อนจะย้ำว่าต้องเลือกผู้ให้บริการ VPN ที่น่าเชื่อถือและไม่มีนโยบายเก็บ log ถ้าเทียบกับคลิปแรกที่เตือนว่า VPN อาจบ่อนทำลายความไม่ระบุตัวตนของ Tor โดยรวมแล้ว ข้อโต้แย้งของ Aragon มีน้ำหนักสำหรับ threat model บางกรณี แต่ก็แลกมาด้วยความเสี่ยงใหม่คือการต้องวางใจ VPN provider (YouTube, Qubes OS Forum).


1. บริบทของวิดีโอ

1.1 วัตถุประสงค์

Jonah Aragon ผลิตคลิปนี้ขึ้นเพื่อ ตอบโต้ กับคลิป “Stop Using Tor With VPNs” ของ Mental Outlaw ที่อ้างว่า VPN ไม่ได้ช่วยเพิ่มความไม่ระบุตัวตนให้ Tor และอาจลดความปลอดภัยลง (YouTube).

1.2 แหล่งที่มา

  • โพสต์ใน Qubes OS Forum ระบุชัดว่า “Yes, you should connect to Tor via a VPN” เป็นการตอบคลิปของ Mental Outlaw พร้อมอธิบายด้านความปลอดภัยของ Tor เพิ่มเติม (Qubes OS Forum).


2. ข้อโต้แย้งหลักของ Jonah Aragon

2.1 ซ่อนการใช้ Tor จาก ISP

การเชื่อมต่อ VPN → Tor จะทำให้ ISP เห็นแค่การเชื่อมต่อกับ VPN เท่านั้น ไม่สามารถระบุได้ว่ามีการใช้ Tor อยู่หรือไม่ ซึ่งช่วยป้องกันการเซนเซอร์หรือบล็อก Tor ที่เกิดขึ้นในบางประเทศ (Reddit).

2.2 ปกป้องจากโหนด Guard ที่ไม่น่าเชื่อถือ

โหนด guard ในเครือข่าย Tor อาจถูกควบคุมโดยคนไม่หวังดีแล้วเก็บ IP ต้นทางไว้ แต่ถ้าเราใช้ VPN ก่อนเข้า Tor โหนด guard จะเห็นแค่ IP ของ VPN แทน IP จริงของผู้ใช้ จึงช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้ (Reddit).

2.3 เพิ่มชั้นการเข้ารหัสก่อนเข้า Tor

ด้วยการเข้ารหัสทราฟิกก่อนเข้าสู่เครือข่าย Tor อีกชั้น ผู้สอดแนมที่อาจรวบรวมทราฟิกระหว่างผู้ใช้กับโหนด guard จะไม่สามารถเห็นข้อมูลหรือรูปแบบทราฟิกดิบได้โดยตรง (Reddit).

2.4 ปรับ threat model ได้ตามสถานการณ์

Aragon แนะนำให้ผู้ใช้เลือก VPN ที่มี shared IP pool (เช่น Mullvad, Proton) เพื่อให้ยากต่อการจับคู่เวลาและขนาดทราฟิก และสามารถสลับเซิร์ฟเวอร์ VPN ร่วมกับการเปลี่ยนวงจร Tor ได้ตามต้องการ (Reddit).


3. ข้อจำกัดและความเสี่ยง

3.1 ความไว้วางใจในผู้ให้บริการ VPN

ต้องย้ายความเชื่อใจจาก ISP ไปให้ VPN provider แทน แม้จะเลือกผู้ให้บริการที่ไม่มีนโยบายเก็บ log แต่ก็มีงานวิจัยเตือนว่า VPN ส่วนใหญ่ “claim to be the best” ในเชิงการตลาด และอาจมีแรงจูงใจทางธุรกิจที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ (Tor Project Forum).

3.2 อาจลดความไม่ระบุตัวตนได้

เอกสารของ Tor Project ระบุว่า “You can very well decrease your anonymity by using VPN/SSH in addition to Tor… If you know what you are doing you can increase anonymity, security and privacy” ซึ่งแปลว่า หากใช้ VPN ไม่ถูกวิธี ก็อาจทำให้ความไม่ระบุตัวตนลดลง (archive.torproject.org).

3.3 ความหน่วงเพิ่มขึ้น

การต่อเข้าก่อนเข้าโหนด guard และใช้วงจร VPN ซ้อน จะเพิ่ม latency และลดความเร็วในการเชื่อมต่อเมื่อเทียบกับการใช้ Tor เพียงอย่างเดียว (YouTube).


4. เปรียบเทียบกับฝั่ง Mental Outlaw

  • Mental Outlaw เห็นว่า VPN อาจ “ฆ่า anonymity” ของ Tor เพราะผู้ใช้ต้องวางใจ VPN provider ซึ่งอาจเก็บ log, ไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ Tor Project เองก็ไม่แนะนำโดยตรง (YouTube, Reddit).

  • Aragon มองว่าใน threat model บางกรณี (เช่น ต้องการซ่อนการใช้ Tor จาก ISP หรือกลุ่ม adversary ควบคุมโหนด guard) การใช้ VPN → Tor มีประโยชน์ชัดเจน แม้ต้องแลกกับความไว้วางใจ VPN เพิ่มเติม (Qubes OS Forum).


5. สรุปและคำแนะนำ

  • หาก threat model ของคุณคือไม่ต้องการให้ ISP หรือเครือข่ายท้องถิ่นรู้ว่าคุณใช้ Tor การใช้ VPN → Tor เป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล แต่ต้องเลือกผู้ให้บริการ VPN ที่พิสูจน์ได้ว่าไม่เก็บ log และมี shared IP pool (Reddit).

  • หากคุณให้ความสำคัญกับการไม่ระบุตัวตนสูงสุด โดยไม่กังวลว่าผู้ให้บริการ ISP จะรู้ว่าคุณใช้ Tor การใช้ Tor เพียงอย่างเดียว ร่วมกับการใช้ bridges และ pluggable transports อาจเพียงพอและลดความเสี่ยงจากการต้องวางใจ VPN (support.torproject.org).

  • หลีกเลี่ยงการใช้ Tor → VPN (ต่อ VPN หลัง exit node) เพราะประโยชน์น้อยมากและอาจทำให้วงจร Tor ไม่หมุนเวียนตามออกแบบ (Reddit).

โดยสรุป: ไม่มีโซลูชันไหน “ดีที่สุด” ตลอดกาล ขึ้นกับ threat model และการเลือกใช้เครื่องมือเสริมให้เหมาะสมกับความเสี่ยงของคุณเอง

อธิบายเรื่อง Tor

Tor ถูกพัฒนาในปี 2002 โดยทีมงานจาก US Naval Research Lab ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก DARPA (หน่วยงานวิจัยของกองทัพสหรัฐ) ตอนแรกเป็นโครงการของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ปัจจุบัน Tor ถูกดูแลโดย Tor Project ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร และเป็นซอฟต์แวร์ที่เปิดเผยซอร์สโค้ด ไม่ได้ถูกพัฒนาหรือสนับสนุนโดยรัฐบาลที่กดขี่.

คิดเป็นเวลา 6 วินาที

สรุปโดยย่อ

Tor ไม่ได้ถูก “สร้างขึ้น” โดยรัฐบาลเพื่อสอดแนม แต่ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักวิจัยของ กองวิจัยทางทะเลของสหรัฐฯ (U.S. Naval Research Laboratory) เพื่อปกป้องการสื่อสารข่าวกรองของสหรัฐฯ ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 และต่อมาได้เปิดซอร์สโค้ดในปี 2004 จากนั้นก่อตั้งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร “The Tor Project” ในปี 2006 เพื่อดูแลและพัฒนาต่อเนื่องในรูปแบบโอเพนซอร์ส (Wikipedia, Wikipedia)


ประวัติการพัฒนา

ต้นกำเนิด Onion Routing

  • แนวคิด “onion routing” เกิดขึ้นกลางทศวรรษ 1990 ที่ U.S. Naval Research Laboratory โดย Paul Syverson, Michael G. Reed และ David Goldschlag เพื่อปกป้องการสื่อสารข่าวกรองออนไลน์ (Wikipedia)

  • DARPA เข้ามาร่วมปรับแต่งเทคโนโลยีนี้ในปี 1997 และกองทัพสหรัฐฯ จดสิทธิบัตร onion routing ในปีเดียวกัน (Wikipedia)

การก่อตัวของ Tor Project

  • 20 กันยายน 2002 โครงการ alpha ของ The Onion Routing (Tor) เปิดตัว โดยมี Roger Dingledine และ Nick Mathewson ร่วมกับ Paul Syverson พัฒนาโค้ดขั้นต้น (Wikipedia)

  • ปี 2004 กองวิจัยทางทะเลสหรัฐฯ (NRL) ปล่อยโค้ด Tor ภายใต้ไลเซนส์เสรี และ Electronic Frontier Foundation (EFF) เริ่มให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาเพิ่มเติม (Wikipedia)

  • ปี 2006 Roger Dingledine, Nick Mathewson และอีกห้าคน ก่อตั้ง “The Tor Project” ในฐานะองค์กรไม่แสวงหากำไร (501(c)(3)) เพื่อดูแลโครงการอย่างยั่งยืน (Wikipedia)


การสนับสนุนทางการเงิน

  • แหล่งทุนส่วนใหญ่ในช่วงต้นมาจาก รัฐบาลสหรัฐฯ ได้แก่ DARPA, U.S. Naval Research Laboratory และหน่วยงานรัฐอื่นๆ เช่น U.S. State Department และ National Science Foundation (Wikipedia, WIRED)

  • ต่อมา Tor Project ขยายการรับบริจาคจากองค์กรไม่แสวงหากำไร (NGOs) สถาบันการศึกษา และผู้สนับสนุนภาคเอกชน เช่น Google, NLnet ฯลฯ (torproject.org)


สรุป

  • Tor เริ่มต้น เป็นโครงการวิจัยภายในกองทัพสหรัฐฯ (U.S. Naval Research Laboratory) เพื่อใช้ในงานข่าวกรองออนไลน์ ไม่ใช่โครงการลับเพื่อสอดแนมพลเรือน

  • เปิดซอร์ส และกลายเป็นโครงการสาธารณะตั้งแต่ปี 2004 ภายใต้การดูแลของ The Tor Project ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร

  • แม้ Tor จะได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงแรก แต่ก็พัฒนาเป็นโครงการโอเพนซอร์สที่มีผู้สนับสนุนหลากหลาย เพื่อจุดประสงค์ด้านความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลอินเทอร์เน็ต

  • จึงสรุปได้ว่า Tor ไม่ได้ถูก “สร้างโดยรัฐบาล” เพื่อสอดแนมผู้ใช้ทั่วไป แต่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเสริมสร้างความเป็นส่วนตัวออนไลน์ และปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของชุมชนโอเพนซอร์สและองค์กรไม่แสวงหากำไร (Wikipedia, torproject.org)



    Searching for Snopes information

    ฉันกำลังคิดว่าฉันควรจะลองค้นหา "Snopes Tor espionage" เพื่อหาข้อมูลจาก Snopes เกี่ยวกับข่าวลือที่ Tor ถูกสร้างมาเพื่อสอดแนมผู้ใช้ แต่ยังไม่พบบทความตรงๆ ที่กล่าวถึงเรื่องนี้เลย คงต้องลองค้นหา "Snopes Tor created government spy" ดูอีกทีเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม เผื่อจะเจอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องค่ะ

    Searching for sources to refute myth

    ฉันกำลังมองหาข้อมูลเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับ Tor ที่มีการพูดถึงในบันทึกว่า “Tor ถูกสร้างขึ้นเพื่อสอดแนมผู้ใช้” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทฤษฎีสมคบคิดที่ไม่ถูกต้อง ฉันจะทำการค้นหาเพิ่มเติมในแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น บทความจาก Snopes และ Whonix เพื่อหาข้อเท็จจริง โดยจะอ้างอิงหลักฐานจากแหล่งที่มาที่ระบุว่า Tor ถูกพัฒนาโดย NRL และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ไม่มีการติดตั้ง “backdoors” และเป็นซอฟต์แวร์เปิดค่ะ

    คิดเป็นเวลา 16 วินาที

    Tor ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสอดแนมผู้ใช้ แต่มีที่มาจากงานวิจัยเพื่อปกป้องการสื่อสารข่าวกรองของรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโครงการโอเพนซอร์สดูแลโดยองค์กรไม่แสวงหากำไรและชุมชนทั่วโลก (Wikipedia, Whonix)

    1. ที่มาและวัตถุประสงค์แรกเริ่ม

  • Tor เริ่มต้นในชื่อโครงการ “onion routing” ที่พัฒนาโดยนักวิจัยของ U.S. Naval Research Laboratory ภายใต้การสนับสนุนของ DARPA ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 เพื่อใช้ปกป้องการสื่อสารภายในเครือข่ายข่าวกรองสหรัฐฯ (Wikipedia)

  • ออกแบบโดย Paul Syverson ร่วมกับ Michael G. Reed และ David Goldschlag เพื่อทดสอบแนวคิดการเข้ารหัสหลายชั้น (onion routing) ที่ทำให้จุดสังเกตการณ์ไม่สามารถเห็นต้นทางและปลายทางพร้อมกันได้ (Whonix)

2. การเปิดซอร์สและองค์กรดูแล

  • ในปี 2004 กองวิจัยทางทะเลสหรัฐฯ (NRL) ร่วมกับ Electronic Frontier Foundation (EFF) ปล่อยโค้ด Tor ภายใต้ไลเซนส์โอเพนซอร์ส เพื่อให้สามารถตรวจสอบและพัฒนาได้โดยอิสระ (torproject.org)

  • ปี 2006 จึงก่อตั้ง The Tor Project, Inc. ในฐานะองค์กรไม่แสวงหากำไร (501(c)(3)) เพื่อรับผิดชอบดูแลการพัฒนาและสนับสนุนชุมชนผู้ใช้งานทั่วโลก (torproject.org)

3. การมีส่วนร่วมของรัฐบาล vs. ความโปร่งใส

  • มีการวิจัยพบว่าในช่วงแรกประมาณ 80% ของงบประมาณ Tor มาจากแหล่งทุนของรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น DARPA, U.S. Naval Research Laboratory, U.S. State Department ฯลฯ เพื่อสนับสนุนงานวิจัยและเสริมเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลในประเทศเผด็จการ (Wikipedia)

  • หลังจากเปิดซอร์ส ชุมชนนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกสามารถ audit และตรวจรหัส (code review) ได้เต็มที่ จึงไม่พบหลักฐานการฝังประตูหลัง (backdoor) ในซอฟต์แวร์ตลอดระยะเวลาการพัฒนามากกว่า 20 ปี (Whonix)

4. ตำนาน “Tor เพื่อสอดแนม” และการหักล้าง

  • บางแหล่งอ้างว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ Tor exit nodes เพื่อดักฟังทราฟิก แต่การศึกษาโดย Dan Egerstad ในปี 2007 พบโหนด exit บางแห่งดักฟังอีเมลไม่เข้ารหัสเท่านั้น ไม่ได้ฝังไว้ในซอฟต์แวร์หลักของ Tor (WIRED)

  • แม้ NSA จะบันทึก IP ของผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ Tor เพื่อวิเคราะห์แนวโน้ม แต่ไม่ได้มีหลักฐานว่าซอฟต์แวร์ Tor ถูกออกแบบมาเพื่อสอดส่องผู้ใช้ (WIRED)

  • Tor Project เองยืนยันว่าแม้มีกองทุนจากหน่วยงานรัฐ แต่เงินเหล่านั้นเป็น research grants ไม่ใช่สัญญาจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อสอดแนม และชุมชนยังมีบทบาทหลักในการกำกับดูแลความปลอดภัย (Wikipedia)

5. บทบาทของชุมชนและความโปร่งใส

  • เนื่องจากเป็นโครงการโอเพนซอร์ส ผู้เชี่ยวชาญจาก มหาวิทยาลัย, องค์กรสิทธิดิจิทัล, บริษัทเอกชน และอาสาสมัคร สามารถตรวจสอบโค้ดและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงที่เป็นอันตรายได้อย่างต่อเนื่อง (Electronic Frontier Foundation)

  • กระบวนการ reproducible builds และการเผยแพร่รายงาน audit ทำให้หากมีใครพยายามฝังโค้ดแปลกปลอมใน repository หลัก จะถูกจับได้ทันที (Whonix)

6. สรุป

แนวคิดที่ว่า “Tor ถูกสร้างเพื่อสอดแนมผู้ใช้” เป็นเพียง ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด ไม่มีหลักฐานสนับสนุน และถูกหักล้างโดยประวัติการพัฒนา ทรัพยากรการเงินที่เปิดเผย และกระบวนการตรวจสอบโค้ดสาธารณะของชุมชน ความเป็นโอเพนซอร์สและการมีส่วนร่วมของผู้เชี่ยวชาญหลายภาคส่วนจึงช่วยรับประกันได้ว่า Tor ทำงานตามวัตถุประสงค์ด้านความเป็นส่วนตัว ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อสอดแนม (Whonix, WIRED)



วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2568

​นักวิจัยพบว่า เมื่อคนได้รับวัคซีนโควิดชนิด mRNA (เช่น Pfizer หรือ Moderna) หลายครั้ง ระบบภูมิคุ้มกันอาจเปลี่ยนแปลง โดยสร้างแอนติบอดีชนิดหนึ่งที่ขี้เกียด ไม่ค่อยช่วยกำจัดเชื้อโรค ทำให้ร่างกายอาจติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

 อันนี้ ผมกังวล เพราะ แม้แต่คุณพ่อและคุณแม่ผมก็ฉีด ทั้งคู่ คนละหลายเข็ม และคุณพ่อผมก็เสียชีวิตเพราะโควิด ทั้งที่ฉีด mRNA ไปหลายเข็ม 





การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Infection เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2025 ได้วิเคราะห์การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในบุคลากรสาธารณสุขในจังหวัดบาร์เซโลนา ประเทศสเปน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของแอนติบอดีชนิด IgG หลังจากได้รับวัคซีน mRNA (เช่น Pfizer หรือ Moderna) หลายเข็ม .​Journal of Infection

 https://www.journalofinfection.com/article/S0163-4453(25)00067-2/fulltext

1. การเปลี่ยนแปลงของแอนติบอดีหลังจากใช้ mRNA ซ้ำๆ

หลังจากฉีดวัคซีน mRNA ไปแล้ว 3 เข็มขึ้นไป พบว่าระบบภูมิคุ้มกันมีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการเพิ่มขึ้นของแอนติบอดีชนิด IgG4 และ IgG2 อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ IgG4 ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 11 เท่าหลังจากเข็มที่สาม ซึ่งแอนติบอดีชนิดนี้มีคุณสมบัติที่ไม่กระตุ้นการทำลายเชื้อโรค (non-cytophilic) ต่างจาก IgG1 และ IgG3 ที่มีบทบาทในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดเชื้อโรค (cytophilic) .​

2. ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้

การเพิ่มขึ้นของ IgG4 และ IgG2 มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการติดเชื้อ SARS-CoV-2 โดยเฉพาะในผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA หลายเข็ม โดยพบว่า:

  • ระดับ IgG4 ที่เพิ่มขึ้น 10 เท่ามีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงการติดเชื้อแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้น 1.8 เท่า

  • การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนของแอนติบอดีที่ไม่เป็นไซโตฟิลิก (IgG4 + IgG2) ต่อแอนติบอดีที่เป็นไซโตฟิลิก (IgG1 + IgG3) มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น 1.5 เท่า

นอกจากนี้ แอนติบอดี IgG4 ยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การทนต่อแอนติเจนและลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ .​

3. ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน

การเพิ่มขึ้นของ IgG4 และ IgG2 มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันดังนี้:

  • ลดความสามารถในการยับยั้งไวรัส (neutralizing activity)

  • ลดการมีส่วนร่วมของตัวรับ Fc ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเรียกเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์นักฆ่าธรรมชาติ (natural killer cell) และเซลล์ฟาโกไซต์ (phagocytic cell) ลดลง

  • ลดการป้องกันภูมิคุ้มกันโดยรวม

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการฉีดวัคซีน mRNA ซ้ำๆ อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ .​

 











อันนี้ส่วนของหมอธี ครับ

https://www.facebook.com/share/p/18iHoL5BT7/


วัคซีนโควิด mRNA ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกัน เปลี่ยนคลาส เป็นชนิดไม่สู้เชื้อ
รายงานในวารสาร journal of Infection รับลง วันที่ 12 มีนาคม 2025
คณะทำงานจากสเปน ออสเตรเลีย แคนาดา
วิเคราะห์ชนิดของแอนติบอดี IgG subclass C1q และ Fc gammaR และ ความสามารถในการยับยั้งไวรัส (neutralizing activity)
ทั้งนี้ทำการศึกษาและติดตามในบุคลากรสาธารณสุขในสามแขวงของจังหวัดบาร์เซโลนาประเทศสเปน
(รายละเอียดการศึกษาและกระบวนวิธีการวิเคราะห์รวมการวีธีทางแลป
1. การเปลี่ยนแปลงของแอนติบอดีหลังจากใช้ mRNA ซ้ำๆ
หลังจากฉีด mRNA เช่น Pfizer หรือ Moderna ไปแล้ว 3 ครั้งขึ้นไป ระบบภูมิคุ้มกันจะเริ่มสร้างแอนติบอดี IgG4 (และ IgG2 ) เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลการศึกษาพบว่าระดับ IgG4 เพิ่มขึ้นเกือบ 11 เท่า (ค่ามัธยฐาน 10.85 เท่า) หลังจากรับวัคซีนโดสที่สาม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในโปรไฟล์แอนติบอดี
ในทางตรงกันข้าม การตอบสนองของ IgG1 และ IgG3 นั้นมีเพียงเล็กน้อยหรือลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
แอนติบอดีชนิดเหล่านี้ คือ IgG4 และ IgG2 เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “non-cytophilic "ซึ่งหมายความว่าแอนติบอดีเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรมากในการคัดเลือกเซลล์ภูมิคุ้มกันเพื่อโจมตีไวรัส แตกต่างอย่างมากจาก IgG1 และ IgG3 ซึ่งเป็น “cytophilic” ที่ทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดการติดเชื้อ
ผลการสลับคลาสของแอนติบอดีไม่ได้พบในผู้ที่ได้รับวัคซีนเวกเตอร์อะดีโนไวรัส เช่น แอสตร้าหรือในผู้ที่ได้รับการติดเชื้อตามธรรมชาติ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับแพลตฟอร์มการฉีด mRNA
2. เหตุใดสิ่งนี้จึงสำคัญ?
IgG4 และ IgG2 ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัสได้อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังฝึกให้ร่างกายทนต่อการสัมผัสต่อ ตัวกระตุ้น ได้ด้วย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มักพบในโรคภูมิแพ้หรือการติดเชื้อเรื้อรัง
การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า:
* ระดับ IgG4 เพิ่มขึ้น 10 เท่ามีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงการติดเชื้อแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้น 1.8 เท่า (อัตราส่วนความเสี่ยง [HR] = 1.8; 95% CI: 1.2–2.7)
* การเพิ่มขึ้น 10 เท่าของอัตราส่วนของแอนติบอดีที่ไม่เป็นไซโตฟิลิก (IgG4 + IgG2) ต่อแอนติบอดีที่เป็นไซโตฟิลิก (IgG1 + IgG3) มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น 1.5 เท่า (อัตราผลตอบแทน = 1.5; 95% CI: 1.1–1.9)
3. ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การศึกษาพบว่าระดับ IgG4 และ IgG2 ที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับ:
* การทำงานของแอนติบอดีที่สู้กับไวรัสลดลง (กล่าวคือ แอนติบอดีมีความสามารถในการบล็อกไวรัสได้น้อยลง)
* การมีส่วนร่วมของตัวรับ Fc ลดลง ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเรียกเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์นักฆ่าธรรมชาติ natural killer cell และเซลล์ฟาโกไซต์ phagocytic cell ลดลง
* การป้องกันภูมิคุ้มกันโดยรวม
ปริมาณ mRNA ที่มากขึ้น → IgG4 ที่มากขึ้น (↑11 เท่า) → ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่สูงขึ้น (↑1.8 เท่า)
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการฉีด mRNA ซ้ำๆ จะไปตั้งโปรแกรมระบบภูมิคุ้มกันใหม่ในลักษณะที่ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ สิ่งนี้จะมองเห็นได้ชัดเจนกับแพลตฟอร์ม mRNA ทั้งหมด ไม่ว่าแอนติเจนเป้าหมายจะเป็นอะไรก็ตาม
การศึกษานี้ตอกย้ำผลการศึกษาที่มีมาก่อนหน้านี้หลายรายงาน และอธิบายได้ว่าทำไมเมื่อฉีดมากเข็มขึ้น กลับติดมากขึ้น และทำไมร่างกายอ่อนแอ ต่อการติดเชื้อใหม่แม้ไม่ใช่โควิด รวมทั้งภูมิคุ้มกันที่คอยปกป้องไม่ให้เชื้อที่ซ่อนอยู่ในร่างกายปะทุขึ้น
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต