ข้อดี vs ข้อเสีย หน่วงเงินก่อนโอน (SlowPayment)
จาก สภาผู้บริโภคเสนอมาตรการ "หน่วงเงินก่อนโอน (Slow Payment)" เกิน 10,000 บาท ธนาคารต้องชะลอเงิน 1 ชั่วโมง ก่อนอนุมัติจ่ายปลายทาง เพิ่มความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์
ข้อดีของมาตรการหน่วงเงินก่อนโอน
1. เพิ่มเวลาให้ผู้บริโภคตรวจสอบธุรกรรม: ด้วยการหน่วงเวลาการโอนเงิน 60 นาที ผู้บริโภคจะมีเวลาพิจารณาและตรวจสอบธุรกรรมได้มากขึ้น ซึ่งอาจช่วยป้องกันการถูกหลอกลวงได้
2. ช่วยให้มีเวลาดำเนินการแก้ไขหากพบการฉ้อโกง: ผู้บริโภคสามารถติดต่อธนาคารเพื่อระงับหรือยกเลิกการโอนเงินหากตรวจพบความผิดปกติได้ทันท่วงที
3. เพิ่มความเชื่อมั่นในระบบการเงิน: ผู้บริโภคจะรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในการทำธุรกรรมออนไลน์
ข้อเสียและข้อกังวลของมาตรการหน่วงเงินก่อนโอน
- ความล่าช้าในการทำธุรกรรม: การชะลอการโอนเงินอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการโอนเงินด่วน เช่น การจ่ายค่าบริการหรือค่าสินค้าที่ต้องการชำระทันที
- ผลกระทบต่อธุรกิจ: ธุรกิจที่ต้องการการโอนเงินรวดเร็วอาจได้รับผลกระทบ
- เพิ่มภาระงานให้กับธนาคาร: ธนาคารต้องมีการตรวจสอบธุรกรรมมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและความยุ่งยากในการดำเนินงาน
- กระทบความสะดวกสบาย: การหน่วงเวลาการโอนอาจสร้างความล่าช้าในการทำธุรกรรมซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหรือความต้องการด่วนของผู้บริโภค
- อาจไม่เพียงพอในการป้องกันการหลอกลวงที่ซับซ้อน: แม้ว่ามาตรการนี้จะช่วยให้มีเวลาตรวจสอบการธุรกรรมมากขึ้น แต่ก็อาจไม่สามารถป้องกันการฉ้อโกงที่มีวิธีการซับซ้อนหรือการหลอกลวงที่ดำเนินการผ่านช่องทางอื่นได้
ข้อกังวลอื่นๆ
- การบังคับใช้: ความท้าทายในการบังคับใช้มาตรการนี้อย่างมีประสิทธิภาพและยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย
- การป้องกันมิจฉาชีพ: แม้มาตรการนี้จะช่วยลดการหลอกลวงได้ แต่ก็อาจไม่สามารถป้องกันการทุจริตได้ทั้งหมด มิจฉาชีพอาจหาวิธีการใหม่ๆ ในการหลอกลวงผู้บริโภค
มาตรการหน่วงเงินก่อนโอนเงินมีข้อดีในเรื่องการป้องกันการทุจริตทางการเงินออนไลน์ แต่ก็มีข้อเสียและข้อกังวลที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้การนำมาใช้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่สร้างความไม่สะดวกเกินไปให้กับผู้บริโภคและธุรกิจ