วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

แชร์ ธนาคารขึ้นเช็ค เงินปันผลหุ้นไม่ได้บอกว่าเครื่องไม่อ่าน แล้วแนะนำให้ลูกค้า ไปแจ้งความว่าเช็คหาย

 ธนาคารขึ้นเช็คเงินปันผลหุ้นไม่ได้บอกว่าเครื่องไม่อ่าน แล้วแนะนำให้ลูกค้า ไปแจ้งความว่าเช็คหาย

ในกรณีนี้ ผมได้เช็ค ปันผลหุ้นมาแล้ว เลยไปขึ้นเงิน แต่ธนาคาร แจ้งมาว่าใบนี้ ไม่ได้โทรเรียก ให้ไปรับคืน 

สรุป ธนาคารแจ้งมาว่า ให้ไปแจ้งความว่าเช็คหาย ซึ่ง ง่าย แต่ไม่ควรทำ*


ก็จากการสอบถาม ต้องส่งเช็คกลับไป แล้วขอให้ออกใหม่ ขั้นตอน และแบบฟอร์ม ในอนาคต อาจเปลี่ยนแปลง ให้ทำการสอบถามเจ้าหน้าที่โดย call center


ต้องรอพรุ้งนี้ถึงโทรได้ 

 

ตอนนี้อนาคต ขึ้นเงินเช็คใบนี้ยังริบหรี่

ตอนนี้ ผมให้โอนเงินปันผลเข้าบัญชีแทนแล้วครับ


*ในกรณีที่ธนาคารปฏิเสธการขึ้นเช็คเงินปันผลจากหุ้นโดยให้เหตุผลว่า "เครื่องไม่อ่าน" และแนะนำให้ลูกค้าไปแจ้งความว่าเช็คหาย ถือเป็นเรื่องที่อาจนำไปสู่การแจ้งความเท็จได้ หากเช็คไม่ได้หายจริง เนื่องจากการแจ้งความเท็จถือเป็นความผิดทางกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 ซึ่งกำหนดว่า "ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือรัฐได้รับความเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

ดังนั้น แนะนำให้คุณสอบถามรายละเอียดจากธนาคารเพิ่มเติมให้ชัดเจนว่าปัญหาเกี่ยวกับการขึ้นเช็คนั้นเกิดจากสาเหตุใด เช่น ปัญหาเกี่ยวกับเครื่องอ่านเช็คหรือความผิดปกติของเช็ค เพื่อหาวิธีแก้ไขที่เหมาะสมก่อน หากธนาคารยังยืนยันให้แจ้งความ คุณควรปรึกษาทนายความหรือขอคำแนะนำจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หรือธนาคารแห่งประเทศไทย

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2567

บทเรียนของคนไทย กับ The iCon Group

 





The iCon Group ก่อตั้งในปี 2561 โดย วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ได้รับความสนใจจากการใช้คนดังและอินฟลูเอนเซอร์โปรโมทสินค้าเกี่ยวกับความงามและสุขภาพ กระตุ้นให้คนทั่วไปลงทุนซื้อสินค้าเพื่อนำไปขายต่อ อย่างไรก็ตาม ผู้ขายหลายคนประสบปัญหาทางการเงิน เช่น กู้ยืมเงินหรือขายทรัพย์สินเพื่อตอบสนองโควต้าการขายของบริษัท บางคนถึงขั้นล้มละลายหรือถูกยึดทรัพย์

แม้ว่าวรัตน์พลยืนยันว่าธุรกิจถูกกฎหมาย แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CCIB) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับผู้บริโภค (CPPD) กำลังสืบสวนธุรกิจของ The iCon Group เกี่ยวกับการฉ้อโกงและการละเมิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ธุรกิจนี้มีรายได้กว่า 5 พันล้านบาทในปี 2567 แต่ยังมีผู้ที่ออกมาร้องเรียนว่าพวกเขาไม่ได้รับสินค้าแม้จะลงทุนไปแล้วก็ตาม

The iCon Group: กลยุทธ์และผลกระทบของธุรกิจ MLM คล้ายแชร์ลูกโซ่

จากข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ MLM (Multi-Level Marketing) และข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับบริษัท The iCon Group ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในประเทศไทย ข้อมูลและข้อสงสัยที่ถูกเปิดเผยชี้ให้เห็นถึงรูปแบบและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่มีลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่ (Ponzi Scheme) ซึ่งเป็นการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย หลักการของธุรกิจลักษณะนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากความคลุมเครือในโครงสร้างรายได้และการดำเนินงานที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้เข้าร่วม

1. การชักชวนเข้าร่วมเครือข่ายมากกว่าการขายสินค้า

The iCon Group ถูกวิจารณ์ว่าใช้กลยุทธ์ในการชักชวนคนเข้าร่วมเครือข่ายเพื่อรับผลตอบแทน โดยเน้นการหาสมาชิกใหม่มากกว่าการขายสินค้าจริง จึงส่อให้เห็นถึงลักษณะของธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ธุรกิจประเภทนี้สร้างรายได้ให้กับสมาชิกเก่าผ่านการนำเงินของสมาชิกใหม่มาหมุนเวียนในระบบ เมื่อไม่มีสมาชิกใหม่เข้ามา ธุรกิจจะไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ซึ่งเป็นความเสี่ยงอย่างมาก

2. ราคาต้นทุนสินค้ากับการแข่งขันในตลาด

ปัญหาที่พบคือ สินค้าของบริษัทอาจมีราคาสูงเกินจริง แต่ถูกขายในราคาต่ำกว่าต้นทุน หรือสินค้าไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ส่งผลให้ตัวแทนจำหน่ายต้องพึ่งพาการชักชวนคนเข้าร่วมเครือข่ายมากกว่าการขายสินค้า ซึ่งขัดกับหลักการของธุรกิจ MLM ที่เน้นการสร้างรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ

3. การใช้คนดังและการโฆษณาเกินจริง

The iCon Group ใช้ดาราและคนดังเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ แต่การใช้คนดังนี้อาจเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อหลอกลวงประชาชน โดยพวกเขาไม่ได้มุ่งเน้นการขายสินค้าจริงแต่ใช้ "หลักฐานทางสังคม" (Social Proof) ซึ่งอาศัยอิทธิพลจากบุคคลที่มีชื่อเสียงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ กลยุทธ์นี้ถูกใช้ในธุรกิจที่ต้องการสร้างความเชื่อถือในวงกว้างอย่างรวดเร็ว

หลักการจิตวิทยาที่ใช้ในธุรกิจ

  1. Social Proof - การเห็นคนดังเข้าร่วมธุรกิจทำให้คนทั่วไปเชื่อว่าธุรกิจนี้น่าเชื่อถือ
  2. Fear of Missing Out (FOMO) - กลยุทธ์กระตุ้นความกลัวว่าจะพลาดโอกาสในการประสบความสำเร็จหรือได้รับผลตอบแทนสูง ชักจูงให้คนรีบเข้าร่วม
  3. Commitment and Consistency - เมื่อผู้เข้าร่วมเริ่มต้นลงทุนแล้ว พวกเขามักจะมีแนวโน้มทำต่อไปแม้ว่าจะมีความเสี่ยง เพราะต้องการรักษาภาพลักษณ์ของการตัดสินใจของตัวเอง
  4. Cognitive Dissonance - ผู้เข้าร่วมมักปฏิเสธข้อมูลที่ขัดแย้งกับการตัดสินใจของตนเอง และหาเหตุผลสนับสนุนการกระทำของตนเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิด

MLM vs แชร์ลูกโซ่: ความแตกต่างที่ชัดเจน

ธุรกิจ MLM ที่ถูกต้องตามกฎหมายจะเน้นที่การขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าในตัวเอง ในขณะที่แชร์ลูกโซ่มุ่งเน้นการหาสมาชิกใหม่เพื่อระดมทุนและหมุนเวียนเงินในระบบโดยไม่มีสินค้าเป็นหลัก หากไม่มีการขายสินค้าจริงหรือการหมุนเวียนเงินอาศัยจากการรับสมัครสมาชิกใหม่ ธุรกิจนั้นอาจเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ซึ่งผิดกฎหมาย

ตัวอย่าง MLM ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น Amway, Herbalife, Nu Skin ที่เน้นการขายสินค้าและตรวจสอบตามกฎหมาย ส่วน แชร์ลูกโซ่ มักเน้นการชักชวนเข้าร่วมมากกว่าการขายสินค้า เช่นกรณีของ The iCon Group ที่เน้นการรับสมัครสมาชิกมากกว่าการขายสินค้าอย่างชัดเจน

บทบาทของดาราและคนดัง: เหยื่อหรือผู้ร่วมขบวนการ?

กรณีดาราและคนดังที่เข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ให้ The iCon Group เป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ บางส่วนอาจถือว่าเป็นเหยื่อของธุรกิจเพราะไม่ได้ทราบถึงรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับการดำเนินงานที่อาจผิดกฎหมาย ขณะที่บางคนอาจเข้าร่วมในระดับที่ลึกกว่าการเป็นเพียงพรีเซนเตอร์ เช่น รับรู้โครงสร้างธุรกิจและมีส่วนได้เสียในธุรกิจ ในกรณีหลังนี้ อาจถูกพิจารณาเป็นผู้ร่วมขบวนการหลอกลวงประชาชนและอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายได้

สรุป กรณี The iCon Group เน้นการชักชวนคนเข้าร่วมมากกว่าการขายสินค้า มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับแชร์ลูกโซ่ ซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจที่เสี่ยงต่อการล้มละลายและสร้างความเสียหายแก่ผู้เข้าร่วม ดาราและคนดังที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้มีทั้งที่เป็นเหยื่อและอาจมีผู้ที่เป็นผู้ร่วมขบวนการ การดำเนินคดีทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับหลักฐานและเจตนาของผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจ

 

 

จากมุมมองทางจิตวิทยา หลายปัจจัยสามารถอธิบายได้ว่าทำไมผู้คนถึงถูกดึงดูดให้เข้าร่วมธุรกิจนี้:

  1. ความต้องการการยอมรับในสังคม: ผู้เข้าร่วมธุรกิจอาจรู้สึกว่าการอยู่ในกลุ่มจะได้รับการยอมรับจากสังคม ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญ
  2. ความเอนเอียงทางความคิดในแง่ดีเกินไป: ผู้คนมักมองตนเองในแง่ดีเกินไป และเชื่อว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น
  3. แรงกดดันทางการเงินและความหวัง: ผู้ที่เผชิญกับปัญหาการเงินมักจะยอมเสี่ยง โดยมีความหวังว่าการลงทุนนี้จะเป็นทางออก
  4. ความไม่สอดคล้องทางความคิด: เมื่อมีการตัดสินใจลงทุนไปแล้ว ผู้คนมักจะปฏิเสธหรือมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้งกับการตัดสินใจของตนเอง
  5. การเสริมแรงแบบไม่แน่นอน: การให้รางวัลแบบไม่สม่ำเสมอช่วยกระตุ้นให้คนเข้าร่วมต่อไป แม้ว่าจะไม่ได้รับผลตอบแทนที่ชัดเจนก็ตาม

ปัจจัยเหล่านี้ช่วยอธิบายว่าทำไมคนจำนวนมากยังคงเข้าร่วมและอยู่ในธุรกิจเช่น The iCon Group แม้จะมีสัญญาณเตือนหลายอย่า

สัญญาณเตือนที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติในธุรกิจอย่าง The iCon Group รวมถึงธุรกิจเครือข่าย (MLM) อื่น ๆ ที่อาจเป็นการฉ้อโกง มีดังนี้:

  1. การส่งเสริมรายได้ที่ไม่สมจริง: หนึ่งในสัญญาณที่พบได้ทั่วไปคือการโฆษณาว่าผู้เข้าร่วมสามารถทำรายได้มหาศาลอย่างรวดเร็ว แต่ความจริงแล้วมีเพียงส่วนน้อยที่ได้กำไร ผู้ขายส่วนใหญ่มักต้องลงทุนซ้ำและไม่ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง​


    .

  2. การใช้คนดังและอินฟลูเอนเซอร์: การใช้ผู้มีชื่อเสียงหรืออินฟลูเอนเซอร์ช่วยโปรโมทสินค้าและแผนธุรกิจ ทำให้ดูน่าเชื่อถือและยิ่งดึงดูดให้คนเชื่อว่าการเข้าร่วมธุรกิจนี้จะประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ The iCon Group ใช้ โดยมีข้อกล่าวหาว่าการลงทุนที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้รับสินค้าในบางกรณี​

    .

  3. การกดดันให้ลงทุนเพิ่มเติม: ผู้ที่เข้าร่วมหลายคนรายงานว่าถูกกดดันให้ลงทุนมากขึ้น เพื่อทำยอดขายหรือรักษาตำแหน่งของตนในโครงสร้างบริษัท บางคนถึงขั้นกู้ยืมเงินหรือขายทรัพย์สินเพื่อทำตามโควต้า ซึ่งมักจะนำไปสู่ปัญหาทางการเงินหรือการล้มละลาย​


    .

  4. โครงสร้างรายได้ที่เน้นการสรรหาคนใหม่มากกว่าขายสินค้า: หากโครงสร้างธุรกิจให้ความสำคัญกับการสรรหาผู้เข้าร่วมใหม่มากกว่าการขายผลิตภัณฑ์จริง นี่เป็นสัญญาณเตือนว่าอาจเป็นแผนการลวงโลก (pyramid scheme)​


    .

  5. การจ่ายผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน: การใช้กลยุทธ์การให้รางวัลแบบไม่แน่นอน (intermittent reinforcement) เช่น รางวัลใหญ่ที่เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ทำให้ผู้เข้าร่วมตื่นเต้นและมีความหวังในการได้รับรางวัลในครั้งต่อไป ทำให้คนยังคงอยู่ในระบบ แม้จะไม่เคยได้ผลตอบแทนที่คาดหวังไว้​

    .

สัญญาณเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรระวัง หากพบเจอในธุรกิจที่กำลังเข้าร่วม ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน.







 

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567

10-10 เจอ รีวิว ที่ต้องเอ๊ะ

ความสำคัญของการพิจารณารีวิวสินค้าออนไลน์อย่างรอบคอบ

การซื้อของออนไลน์ทำให้เราพึ่งพารีวิวจากลูกค้าที่เคยซื้อสินค้ามาก่อนเพื่อช่วยในการตัดสินใจ โดยรีวิวเหล่านี้สามารถบอกถึงคุณภาพของสินค้าและความน่าเชื่อถือของร้านค้าได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม บางครั้งการพบเจอรีวิวที่ดูผิดปกติอาจเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วน

ตัวอย่างที่ผมเจอคือร้านค้าหนึ่งมีรีวิวถึง 79 รายการ แต่ทั้งหมดกลับให้คะแนน 5 ดาวเหมือนกันหมด นอกจากนี้ ภาษาที่ใช้ในรีวิวยังฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ ราวกับเป็นการแปลมาจากภาษาอื่น นอกจากนี้ยังมีข้อความระบุว่า "รีวิวของสินค้าจากแพลตฟอร์มอื่น" ซึ่งก่อให้เกิดความสงสัยว่าต้นกำเนิดของรีวิวเหล่านี้มาจากไหน

สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากขึ้นคือราคาของสินค้าที่ถูกกว่าร้านอื่นๆ ในตลาด โดยร้านค้าทั่วไปขายในช่วง 3,200 - 3,600 บาท แต่ร้านนี้ขายเพียง 2,5xx บาท ซึ่งเป็นส่วนต่างที่น่าสังเกต อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบรีวิวเพิ่มเติม กลับพบว่า 78 รีวิวจาก 79 นั้นถูกโพสต์ในวันเดียวกันทั้งหมด มีเพียงรีวิวเดียวที่โพสต์เมื่อสองสัปดาห์ก่อน โดยระบุว่าซื้อสินค้าจากลาซาด้า ซึ่งดูเหมือนจะเป็นรีวิวจากผู้ซื้อที่แท้จริง



แต่ จากการตัดสินใจสุดท้ายของผม ผมไม่ได้ซื้อร้านนี้ แต่ผมไป ซื้อ ช็อปปี้ ที่ได้ คืนคอยน์
 ราคาหลังหัก คอยน์  ก็ยังแพงกว่า แต่สบายใจกว่า เพราะมันใจ รีวิว ที่ เป็นธรรมชาติ อย่างน้อยก็ธรรมชาติ กว่านี้ละครับ

ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าร้านค้าที่เจอจะไม่น่าเชื่อถือ อาจเป็นไปได้ว่าร้านนั้นมีรีวิวจริงจากการแปลภาษาหรือได้จากแพลตฟอร์มอื่น แต่อย่างไรก็ตาม การใช้วิจารณญาณและตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบเป็นสิ่งสำคัญในการซื้อของออนไลน์