วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2568

​นักวิจัยพบว่า เมื่อคนได้รับวัคซีนโควิดชนิด mRNA (เช่น Pfizer หรือ Moderna) หลายครั้ง ระบบภูมิคุ้มกันอาจเปลี่ยนแปลง โดยสร้างแอนติบอดีชนิดหนึ่งที่ขี้เกียด ไม่ค่อยช่วยกำจัดเชื้อโรค ทำให้ร่างกายอาจติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

 อันนี้ ผมกังวล เพราะ แม้แต่คุณพ่อและคุณแม่ผมก็ฉีด ทั้งคู่ คนละหลายเข็ม และคุณพ่อผมก็เสียชีวิตเพราะโควิด ทั้งที่ฉีด mRNA ไปหลายเข็ม 





การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Infection เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2025 ได้วิเคราะห์การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในบุคลากรสาธารณสุขในจังหวัดบาร์เซโลนา ประเทศสเปน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของแอนติบอดีชนิด IgG หลังจากได้รับวัคซีน mRNA (เช่น Pfizer หรือ Moderna) หลายเข็ม .​Journal of Infection

 https://www.journalofinfection.com/article/S0163-4453(25)00067-2/fulltext

1. การเปลี่ยนแปลงของแอนติบอดีหลังจากใช้ mRNA ซ้ำๆ

หลังจากฉีดวัคซีน mRNA ไปแล้ว 3 เข็มขึ้นไป พบว่าระบบภูมิคุ้มกันมีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการเพิ่มขึ้นของแอนติบอดีชนิด IgG4 และ IgG2 อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ IgG4 ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 11 เท่าหลังจากเข็มที่สาม ซึ่งแอนติบอดีชนิดนี้มีคุณสมบัติที่ไม่กระตุ้นการทำลายเชื้อโรค (non-cytophilic) ต่างจาก IgG1 และ IgG3 ที่มีบทบาทในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดเชื้อโรค (cytophilic) .​

2. ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้

การเพิ่มขึ้นของ IgG4 และ IgG2 มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการติดเชื้อ SARS-CoV-2 โดยเฉพาะในผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA หลายเข็ม โดยพบว่า:

  • ระดับ IgG4 ที่เพิ่มขึ้น 10 เท่ามีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงการติดเชื้อแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้น 1.8 เท่า

  • การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนของแอนติบอดีที่ไม่เป็นไซโตฟิลิก (IgG4 + IgG2) ต่อแอนติบอดีที่เป็นไซโตฟิลิก (IgG1 + IgG3) มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น 1.5 เท่า

นอกจากนี้ แอนติบอดี IgG4 ยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การทนต่อแอนติเจนและลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ .​

3. ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน

การเพิ่มขึ้นของ IgG4 และ IgG2 มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันดังนี้:

  • ลดความสามารถในการยับยั้งไวรัส (neutralizing activity)

  • ลดการมีส่วนร่วมของตัวรับ Fc ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเรียกเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์นักฆ่าธรรมชาติ (natural killer cell) และเซลล์ฟาโกไซต์ (phagocytic cell) ลดลง

  • ลดการป้องกันภูมิคุ้มกันโดยรวม

ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการฉีดวัคซีน mRNA ซ้ำๆ อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ .​

 











อันนี้ส่วนของหมอธี ครับ

https://www.facebook.com/share/p/18iHoL5BT7/


วัคซีนโควิด mRNA ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกัน เปลี่ยนคลาส เป็นชนิดไม่สู้เชื้อ
รายงานในวารสาร journal of Infection รับลง วันที่ 12 มีนาคม 2025
คณะทำงานจากสเปน ออสเตรเลีย แคนาดา
วิเคราะห์ชนิดของแอนติบอดี IgG subclass C1q และ Fc gammaR และ ความสามารถในการยับยั้งไวรัส (neutralizing activity)
ทั้งนี้ทำการศึกษาและติดตามในบุคลากรสาธารณสุขในสามแขวงของจังหวัดบาร์เซโลนาประเทศสเปน
(รายละเอียดการศึกษาและกระบวนวิธีการวิเคราะห์รวมการวีธีทางแลป
1. การเปลี่ยนแปลงของแอนติบอดีหลังจากใช้ mRNA ซ้ำๆ
หลังจากฉีด mRNA เช่น Pfizer หรือ Moderna ไปแล้ว 3 ครั้งขึ้นไป ระบบภูมิคุ้มกันจะเริ่มสร้างแอนติบอดี IgG4 (และ IgG2 ) เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลการศึกษาพบว่าระดับ IgG4 เพิ่มขึ้นเกือบ 11 เท่า (ค่ามัธยฐาน 10.85 เท่า) หลังจากรับวัคซีนโดสที่สาม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในโปรไฟล์แอนติบอดี
ในทางตรงกันข้าม การตอบสนองของ IgG1 และ IgG3 นั้นมีเพียงเล็กน้อยหรือลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
แอนติบอดีชนิดเหล่านี้ คือ IgG4 และ IgG2 เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “non-cytophilic "ซึ่งหมายความว่าแอนติบอดีเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรมากในการคัดเลือกเซลล์ภูมิคุ้มกันเพื่อโจมตีไวรัส แตกต่างอย่างมากจาก IgG1 และ IgG3 ซึ่งเป็น “cytophilic” ที่ทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดการติดเชื้อ
ผลการสลับคลาสของแอนติบอดีไม่ได้พบในผู้ที่ได้รับวัคซีนเวกเตอร์อะดีโนไวรัส เช่น แอสตร้าหรือในผู้ที่ได้รับการติดเชื้อตามธรรมชาติ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับแพลตฟอร์มการฉีด mRNA
2. เหตุใดสิ่งนี้จึงสำคัญ?
IgG4 และ IgG2 ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัสได้อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังฝึกให้ร่างกายทนต่อการสัมผัสต่อ ตัวกระตุ้น ได้ด้วย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มักพบในโรคภูมิแพ้หรือการติดเชื้อเรื้อรัง
การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า:
* ระดับ IgG4 เพิ่มขึ้น 10 เท่ามีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงการติดเชื้อแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้น 1.8 เท่า (อัตราส่วนความเสี่ยง [HR] = 1.8; 95% CI: 1.2–2.7)
* การเพิ่มขึ้น 10 เท่าของอัตราส่วนของแอนติบอดีที่ไม่เป็นไซโตฟิลิก (IgG4 + IgG2) ต่อแอนติบอดีที่เป็นไซโตฟิลิก (IgG1 + IgG3) มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น 1.5 เท่า (อัตราผลตอบแทน = 1.5; 95% CI: 1.1–1.9)
3. ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การศึกษาพบว่าระดับ IgG4 และ IgG2 ที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับ:
* การทำงานของแอนติบอดีที่สู้กับไวรัสลดลง (กล่าวคือ แอนติบอดีมีความสามารถในการบล็อกไวรัสได้น้อยลง)
* การมีส่วนร่วมของตัวรับ Fc ลดลง ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเรียกเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์นักฆ่าธรรมชาติ natural killer cell และเซลล์ฟาโกไซต์ phagocytic cell ลดลง
* การป้องกันภูมิคุ้มกันโดยรวม
ปริมาณ mRNA ที่มากขึ้น → IgG4 ที่มากขึ้น (↑11 เท่า) → ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่สูงขึ้น (↑1.8 เท่า)
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการฉีด mRNA ซ้ำๆ จะไปตั้งโปรแกรมระบบภูมิคุ้มกันใหม่ในลักษณะที่ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ สิ่งนี้จะมองเห็นได้ชัดเจนกับแพลตฟอร์ม mRNA ทั้งหมด ไม่ว่าแอนติเจนเป้าหมายจะเป็นอะไรก็ตาม
การศึกษานี้ตอกย้ำผลการศึกษาที่มีมาก่อนหน้านี้หลายรายงาน และอธิบายได้ว่าทำไมเมื่อฉีดมากเข็มขึ้น กลับติดมากขึ้น และทำไมร่างกายอ่อนแอ ต่อการติดเชื้อใหม่แม้ไม่ใช่โควิด รวมทั้งภูมิคุ้มกันที่คอยปกป้องไม่ให้เชื้อที่ซ่อนอยู่ในร่างกายปะทุขึ้น
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต



วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2568

OTAKU ≠ LOLICON หยุดอคติเหมารวม




การที่คนที่ถูกเรียกว่า โอตาคุ ที่ชอบ อนิเมะ, มังงะ, เกม หรือ เรื่องอื่น ๆ ไม่ได้หมายความว่าเป็นโลลิคอนหรือใคร่เด็ก ตามที่คนส่วนใหญ่มีอคติ

ทั้งที่ หลายคดีในข่าว เราจะพบว่า ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการใคร่เด็ก อาจเป็นคนในครอบครัว เป็นครู เป็นคนมีชื่อเสียง หรือคนที่ดู "ไม่มีพิษมีภัย" ต่อหน้าคนทั่วไปทั้งนั้น เพราะแบบนั้นถึงต้องระวัง "พฤติกรรม" มากกว่า "ภาพลักษณ์"

การเหมารวมนี้สร้างความเสียหายและไม่ยุติธรรม ต่อโอตาคุทั่วโลก โดยเฉพาะโอตาคุ ตามที่คนคิดว่า ต้องอ้วน ใส่แว่น เป็นสิว น่าเกลียด ต้องเป็นพวก ลวนลามเด็ก น่ารังเกียจ จากภาพ เราจะเห็น โอตาคุ เอ ถือฟิกเกอร์ เด็กหญิงใส่ชุดกะลาสี   ซึ่งทำให้คนทั่วไป เชื่อว่า คนเหล่านี้ใครเด็ก หรือเป็น pedo จากการที่หลงรัก ตัวละคร ผู้เยาว์ สมุติ ที่คนไทยน่าจะรู้จักเยอะเช่น  Hatsune Miku  แล้วคนที่หลงรัก ถึงขั้นอยากแต่งงาน หรือแต่งงานไปแล้ว แบบ  นาย อกิฮิโกะ คอนดะ (Akihiko Konda)   เป็น Lolicon หรือไม่ อันนี้ ผมก็ถามคนกลาง ที่มีความเป็นกลาง เช่น AI ได้คำตอบดังนี้






จากข้อความข้างต้น เราได้เห็นอย่างชัดเจนว่าการเชื่อมโยงกลุ่มคนที่เรียกว่า "โอตาคุ" ผู้ซึ่งมีความชื่นชอบในอนิเมะ, มังงะ, เกม หรือวัฒนธรรมย่อยอื่นๆ กับภาพลักษณ์ของ "โลลิคอน" หรือผู้ที่ใคร่เด็กนั้น เป็นอคติที่ไร้เหตุผลและสร้างความเสียหายอย่างมากต่อผู้ที่ถูกเหมารวม


ดังนั้น การเหมารวมว่า "โอตาคุ = โลลิคอน" เป็นการตีตราที่ไม่เป็นธรรม และเป็นการสร้างภาพลักษณ์เชิงลบแบบเหมารวมโดยไร้พื้นฐานความจริง เราต้องเข้าใจว่า ความชอบในอนิเมะหรือมังงะไม่ได้เป็นตัวชี้วัดพฤติกรรมหรือศีลธรรมของใครคนใดคนหนึ่ง สิ่งที่ควรแยกให้ออก คือ “รสนิยมในการบริโภคสื่อ” กับ “พฤติกรรมในชีวิตจริง”

การเหมารวมเช่นนี้ ทำให้โอตาคุหลายคนถูกเลือกปฏิบัติ ถูกล้อเลียน หรือถูกสังคมรังเกียจ ทั้งที่เขาอาจจะเป็นเพียงคนธรรมดา ที่มีความสุขกับการดูการ์ตูน หรือสะสมฟิกเกอร์เท่านั้น ไม่ต่างจากคนที่สะสมโมเดลรถหรือดูฟุตบอลเลย

ทำไมอคติเช่นนี้ถึงเกิดขึ้น? อาจเป็นเพราะความไม่เข้าใจในวัฒนธรรมย่อยของโอตาคุ หรือการนำเสนอภาพลักษณ์ที่บิดเบือนในสื่อบางประเภท ที่มักจะเน้นย้ำไปที่ลักษณะภายนอกตามภาพเหมารวม เช่น อ้วน, ใส่แว่น, เป็นสิว, ดูน่าเกลียด และเชื่อมโยงพวกเขาเข้ากับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม


แต่ในความเป็นจริง ดังที่เราได้เห็นจากตัวอย่างของบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง คิมซูฮยอน ( 김수현 ,Kim Soo Hyun)  หรือ พี่บาส สมรักษ์
ผู้ซึ่งไม่ได้มีลักษณะตรงตามภาพเหมารวมของโอตาคุ  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการกระทำผิดทางเพศไม่ได้จำกัดอยู่กับกลุ่มคนที่มีลักษณะเฉพาะใดๆ


อีกประเด็นที่สำคัญคือ กฎหมายว่าด้วยเรื่องการใคร่เด็ก หรือโลลิคอน ต้องพิจารณาจาก "อายุของผู้เสียหาย" ไม่ใช่จากรูปร่าง หน้าตา หรือความเข้าใจส่วนตัว เช่นกรณีของพี่บาส สมรักษ์ ที่ถึงแม้อาจจะไม่มีเจตนา แต่ก็ยังโดนข้อกล่าวหา เนื่องจากบุคคลที่เกี่ยวข้องยังไม่ถึงเกณฑ์ตามกฎหมาย การรู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความผิด กฎหมายไม่ได้เว้นให้แม้จะเหลือเวลาเพียงหนึ่งวันก่อนอายุครบ 18 ปี

คำว่า "โอตาคุ" นั้นเป็นคำที่กว้างขวาง ครอบคลุมถึงผู้ที่มีความหลงใหลและทุ่มเทให้กับงานอดิเรกหรือความสนใจเฉพาะด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอนิเมะ, มังงะ, เกม, รถไฟ, หรืออื่นๆ อีกมากมาย การนำคนกลุ่มใหญ่ที่มีความหลากหลายเช่นนี้ มาเหมารวมและตัดสินด้วยอคติเพียงเพราะความชอบของพวกเขา จึงเป็นสิ่งที่อยุติธรรมอย่างยิ่ง

เราควรตระหนักว่าการล่วงละเมิดทางเพศเด็กเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง และผู้กระทำผิดนั้นมาจากหลากหลายภูมิหลังและมีลักษณะที่แตกต่างกันไป การมุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะจากอคติ อาจทำให้เราละเลยการสังเกตสัญญาณอันตรายที่แท้จริง และไม่สามารถป้องกันปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อหันกลับมามองโอตาคุส่วนใหญ่ พวกเขาไม่เพียงไม่ได้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมผิดกฎหมายดังกล่าว แต่ยังเป็นกลุ่มที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง สนับสนุนเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมบันเทิง ทั้งการ์ตูน เกม แอนิเมชัน และสินค้าที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย หลายคนยังเป็นนักวาด นักเขียน นักพัฒนาเกม หรือแม้แต่นักแปลอาสาที่ช่วยให้คนไทยได้เข้าถึงผลงานต่างประเทศด้วยซ้ำ

สังคมควรเปิดใจและแยกแยะให้ชัดเจน ระหว่าง “ความชอบเฉพาะทาง” กับ “พฤติกรรมที่ผิดศีลธรรม” เพราะไม่ใช่แค่โอตาคุ แต่กลุ่มคนอื่น ๆ ก็อาจตกเป็นเหยื่อของการเหมารวมได้เช่นกัน หากเรายังปล่อยให้อคติชี้นำความเข้าใจโดยไม่มีเหตุผลและข้อมูลที่ถูกต้อง

ถึงเวลาแล้วที่เราจะก้าวข้ามอคติเหมารวม และมองผู้คนด้วยความเข้าใจและเคารพในความแตกต่าง ความชื่นชอบในอนิเมะ, มังงะ, หรือเกม ไม่ได้บ่งบอกถึงเจตนาหรือพฤติกรรมที่ไม่ดี การตัดสินบุคคลจากภายนอกหรือความชอบส่วนตัว เป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายและไม่นำไปสู่สังคมที่ดีขึ้น

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2568

ถ้าไทยเปลี่ยนเขตเวลา จาก UTC +7 เป็น UTC +8 ตามสิงคโปร์


เริ่ม ต้น UTC +7 คืออะไร สั้นๆ คือ เวลามาตรฐานสากล โดย +7 หมายถึง เวลาเร็วกว่า เวลามาตรฐานสากล หรือ UTC(Coordinated Universal Time)   7 ชั่วโมง
เอาละ อยากให้ดู แผนที่ เขตเวลากันก่อน แถบสีฟ้า ที่เห็น คือ โซน UTC +7

 อย่างใน วันนี้ 15 เมษายน พศ.2568  ดวงอาทิตย์ขึ้น เวลา 05:52 นาที  ดวงอาทิตย์ตก 18:25 นาที ตามภาพข้างล่าง  สรุป ก็ 6โมงเช้า ถึง 6โมงเย็น  ซึ่ง หมายความว่า การตั้งเวลา UTC +7 เหมาะสมกับไทยอยู่แล้ว ไม่ได้ผิดพลาดแต่ประการใด


 

เอาละ มาเข้าเรื่อง จากฝ่ายเสนอ

เหตุผลที่เราควรเปลี่ยน


ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน อย่างมาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์,บลูไน  ใช้ UTC +8 กันหมดแล้ว (แต่อาเซียนมี10ประเทศนะ)

อำนวยความสะดวกทางธุรกิจระหว่างประเทศที่มี UTC+8: การมีเวลาเดียวกันจะช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการเวลาสำหรับธุรกิจที่ทำกับประเทศเหล่านี้

หน่วยงานราชการ ตลาดหุ้น ธนาคาร เปิดพร้อมกัน: การเปิดทำการพร้อมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและลดความสับสน ( เฉพาะ   ประเทศที่มี UTC+8 )

การทำธุรกิจ "ซิงค์เวลา" กันง่ายขึ้น: การประชุมออนไลน์ การนัดหมาย และการทำงานร่วมกันจะสะดวกมากขึ้นโดยไม่ต้องปรับเวลา  ( เฉพาะ   ประเทศที่มี UTC+8 )

ทำให้ดูเหมือนเป็นการ "ขยับเข้าใกล้ศูนย์กลางเศรษฐกิจ ( หมายถึง สิงคโปร์ ) ": การมีเวลาเดียวกับประเทศที่มีบทบาททางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาจส่งผลเชิงสัญลักษณ์




ผู้ที่จะได้ประโยชน์ หรือ อาจจะได้ประโยชน์ จากการปรับเวลา

  • ภาคธุรกิจที่มีการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ: การติดต่อสื่อสารและการประสานงานกับประเทศที่มีเวลา UTC+8 จะสะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • บริษัทข้ามชาติ: การดำเนินงานในประเทศไทยจะสอดคล้องกับสำนักงานใหญ่หรือสาขาอื่นๆ ในภูมิภาคได้ง่ายขึ้น
  • ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการตลาดระหว่างประเทศ: เวลาทำการที่ตรงกันมากขึ้นอาจช่วยให้การทำงานร่วมกับต่างประเทศราบรื่นขึ้น
  • ภาคการท่องเที่ยว (อาจเป็นประโยชน์ในบางแง่มุม): นักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีเวลา UTC+8 อาจปรับตัวได้ง่ายขึ้น

  • ผู้เสนอ
    เรื่องนี้มีมาหลายครั้ง  ข้อเสนอเรื่องการใช้เขตเวลาร่วมกันในกลุ่มประเทศอาเซียน (ASEAN Common Time - ACT) มาตั้งแต่ปี 1995 โดยสิงคโปร์เป็นผู้เสนอแนวคิดนี้ และมาเลเซียได้เสนออีกครั้งในปี 2004 และ 2015

    ในปี 2001 อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เคยเสนอให้ประเทศไทยเปลี่ยนเวลาให้เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เพื่อให้ตรงกับมาเลเซีย สิงคโปร์ และออสเตรเลียตะวันตก (UTC+8) โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์ให้สอดคล้องกับประเทศเพื่อนบ้าน


    เอาละ ดีงามพระราม8ไหมครับ?

    ถ้าพูดง่ายๆ แค่เรา ตื่นเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงและ เลิกงานเร็วขึ้น 1ชั่วโมง ก็ได้แล้ว  จริงไหม?
    ตอบในใจ ทดไว้ก่อนนะครับ

    เอาละลองคิดดูนะ


    ตัวอย่างวันนี้ ดวงอาทิตย์ขึ้น เวลา 05:52 นาที  คุณตื่น 6โมงเช้า อาบน้ำแปรงฟัน กินข้าวเช้า ออกจากบ้านประมาณ 7 โมง เช้า ไปถึงที่ทำงานก่อนตอกบัตร 15นาที หรือคือ 7:45น เข้า งาน 8โมง และเลิกงาน ตอน 16:00-16:30 น.  กลับถึงบ้าน ก็ ประมาณ 17:00  รับลูก เตะบอล ไปกับเพื่อน หรือ อาบน้ำกินข้าว เย็นกับครอบครัว  แล้ว ดูหนักซักเรื่อง ระหว่าง 2 -3 ทุ่ม ก็ยังร้อนอบอ้าว อยู่ แต่ พอเวลานอน  ก็ประมาณ 22:00 อากาศก็เย็นพอ ที่จะนอนได้แล้ว คือประมาณ 26-29 องศาเซลเซียส  หรือยิ่งดึกกว่านี้ก็จะยิ่งเย็น
    และนี้เป็นกรณี ของคนส่วนใหญ่ใหญ่ของประเทศไทย ที่ไม่มีเงินซื้อเครื่องปรับอากาศ หรือ แอร์ 

    ซึ่ง ถ้า มีแอร์+ม่าน UV จะนอนกี่โมงก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่สำหรับทุกคน หรือคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย


    เอาละ ลองคิดต่อ ถ้าไทยเปลี่ยนแปลงเวลาไปเป็น UTC+8 

    คุณตื่น 6โมงเช้า เหมือนเดิม แต่ ดวงอาทิตย์ขึ้น เวลา 06:52 นาที
     ออกจากบ้านประมาณ 7 โมง เช้า เหมือนเดิม แต่กลายเป็นเดินทางช่วง  โพล้เพล้  หรือ เช้ามืด แทน
    เลิกงาน เวลาเดิม 16:00-16:30 น แต่ตอนนี้แดดร้อนกว่าเดิม เหมือนแดนบ่ายสามโมงตอนนี้
    แต่ไม่เป็นไร ถ้าคุณนั่งรถที่มีแอร์เย็นฉ่ำ ติดฟิลม์กรอง UV
    กลับ ถึงบ้าน เวลาเดิม ประมาณ 17:00  รับลูก เตะบอล กับเพื่อน  แต่คุณจะดำแดดกว่าเดิมเยอะ ไม่เป็นไร ถ้า ไป สนามเตะบอล ที่สนามฟุตบอลติดแอร์ หรือ สนามกีฬาในร่ม ก็จะแก้ปัญหาได้ ราคาเหมา 400
    ตอนนอน นอน 4ทุ่มเหมือนเดิม แต่อากาศ ร้อนอบอ้าวเหมือน สามทุ่ม นอนได้ไหม?  ถ้านอนได้ก็จบ แต่ถ้านอนไม่ได้ เพราะร้อน ก็ต้องติดแอร์ แต่ถ้าไม่ติดแอร์ กว่าจะนอนได้ ก็คงต้องรอให้อากาศเย็นลงกว่านี้    แต่อย่าหวังว่าจะได้นอน 8 ชั่วโมงเท่าเดิมนะ  ถ้าอยากนอน 8ชั่วโมงเท่าเดิม ก็ต้องนอนเวลาเดิม

    (อันนี้ถ้าผมเป็น CEO หรือผู้ถือหุ้น คงชอบที่บริษัท ประหยัดค่าแอร์ได้ จาก ค่าแอร์ช่วง 15:00-16:00น กลายเป็นค่าแอร์ช่วง 07:00-08:00น แทน )

    เอาละ เหมื่อมี ประโยชน์ และ มีผู้ได้ผลประโยชน์ จากการเลื่อนเวลา แล้วทำไม จะ ไม่มีด้านตรงข้ามละ?


    ผู้ที่จะเสียประโยชน์ คือ
    ผู้ที่ต้อง ติดต่อสื่อสารและการประสานงานกับประเทศที่มีเวลา UTC+7 แต่เดิม (ถ้าเปลี่ยน มา  UTC+8)
    กลุ่มคนทั่วไปและมีรายได้น้อย
    สำหรับคนทั่วไป การตื่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น มันฝืนธรรมชาติ และส่งผลต่อสุขภาพ
    เพราะจะทำให้  ขัดกับนาฬิกาชีวิต  Biological Clock  หรือ Circadian Rhythm  ทำให้สุขภาพเสื่อมถอย

    ประสิทธิ์ภาพในการทำงานลดลงเพราะตื่นก่อน ดวงอาทิตย์ขึ้น  ทำให้ซึม
    กระทบ วงจรการหลั่งฮอร์โมน และสมดุลของร่างกาย
    โดยเฉพาะกลุ่มที่ ไม่มีแอร์ → พักผ่อนไม่เพียงพอ ตกเย็นแดดยังแรง กลับบ้านร้อนอบอ้าว
    ความเครียดสะสมเรื้อรัง จากการนอนน้อย/นอนไม่หลับ
    ส่งผลต่อสุขภาพจิต
     

    🏥 ภาครัฐและระบบสาธารณสุข

    • ต้องรองรับภาระโรคจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ “ขัดธรรมชาติ”

    • เพิ่มต้นทุนของประเทศในการดูแลสุขภาพระยะยาว

    • จาก “เปลี่ยนเวลา 1 ชั่วโมง” อาจกลายเป็น “เปลืองงบอีกหลายพันล้าน”

     

     **ความเห็นจาก AI**


    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดที่ "ได้หมด" หรือ "เสียหมด" — มันคือเรื่องของใครได้ ใครเสีย

    ลองแยกเป็นภาพรวมแบบชัดเจนให้ดูนะ:


    🇹🇭 ถ้าไทยเปลี่ยนจาก UTC+7 ➡️ UTC+8

    คนที่ "ได้ประโยชน์"

    1. กลุ่มธุรกิจข้ามชาติ / นักลงทุนต่างชาติ

      • ซิงค์เวลาใกล้กับมาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์,บลูไน

      • ทำงาน ข้ามเขตเวลาใน มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์,บลูไน สะดวกขึ้น

    2. นักธุรกิจ / พนักงานออฟฟิศ ที่ทำงานออนไลน์กับต่างประเทศ

      • ประชุม-ติดต่องานง่ายขึ้น ( เฉพาะ   ประเทศที่มี UTC+8 )

      • เวลาทำงานตรงกับคู่ค้า มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์,บลูไน  มากขึ้น ( แล้วก็ ทำให้เหลื่อม กับคู้ค้าต่างประเทศ หลายประเทศ  มากขึ้นเช่นกัน )

    3. บางภาคธุรกิจ เช่น หุ้น-การเงิน-ไอที

      • เวลาซื้อขายเวลาเดียวกันกับตลาด มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์,บลูไน


    🤝 สรุปแบบกลาง ๆ:

    "การเปลี่ยนเขตเวลาไม่ได้ดีหรือแย่สำหรับทุกคนเท่ากัน มันคือการตัดสินใจเชิงโครงสร้างว่า ‘จะย้ายภาระ’ ไปให้ใคร และจะ ‘เอื้อผลประโยชน์’ ให้ใครเป็นหลัก"


    ❓แล้วควรเปลี่ยนไหม?

    • ถ้า จะเปลี่ยนจริง ต้องมีนโยบายรองรับ:

      • เลื่อนเวลาเริ่มงานให้สอดคล้อง

      • ปรับระบบขนส่ง-การศึกษา

      • สนับสนุนค่าไฟ-สภาพแวดล้อมให้กลุ่มรายได้น้อย

    • แต่ถ้ายัง ไม่มีการรองรับที่ดี
      → การเปลี่ยนเขตเวลาอาจเป็นเพียงการ “อำนวยความสะดวกให้คนกลุ่มบน”
      → โดย “ผลักต้นทุนทั้งหมดให้คนกลุ่มล่าง” อย่างไม่เป็นธรรม


     

     

     แล้วอย่า ลืม เมือเรา เลือก UTC+8 แล้ว ประเทศที่ใช้ UTC+7 อยู่ อย่างเวียดนาม ลาว ฯลฯ  ไม่ใช่เรา ทิ้งขอดีตรงนี้ไป หรอกหรือ

    🇹🇭 ถ้าไทยเลือกไป UTC+8
    เท่ากับว่า…
    เรา "ถอยห่าง" จากประเทศเพื่อนบ้านฝั่งอินโดจีน
    อย่าง เวียดนาม, ลาว, กัมพูชา, อินโดนีเซีย (จาการ์ตา
    ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรามี ชายแดนติดกัน, มีแรงงานเคลื่อนไหวสูง, มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้าชายแดน และวัฒนธรรมร่วมกันมากที่สุด

    แล้วเราเปลี่ยนเวลาไปซิงค์กับ "สิงคโปร์" (ซึ่งอยู่ห่างหลายพันกิโล)
    แต่กลับ “ไม่ซิงค์” กับเพื่อนบ้านที่ติดพรมแดนกับเราทุกวัน
    นี่มัน ทิ้งความเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอินโดจีนไปหรือเปล่า?

    ✅ หากยังใช้ UTC+7 → ซิงค์กับเวียดนาม, ลาว, กัมพูชา,จาการ์ตา = เก็บความร่วมมือภูมิภาคอินโดจีน
    ❌ หากเปลี่ยนเป็น UTC+8 → เสียการซิงค์กับเพื่อนบ้านภูมิภาคอินโดจีน = ลดบทบาทไทยในแถบนี้

    **จบความเห็น AI**

    แล้วถ้า มีคนหัวหมอบอก ก็ เลื่อนเวลาเริ่มงานให้เหมือนเดิมสิ

    เวลาทำงานของเราก็ “เหลื่อมกับประเทศอื่น” เท่าเดิมอยู่ดี!
    เช่น ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดก่อนตลาดหุ้นไทย 1 ชั่วโมง ก็ยังห่างกัน 1 ชั่วโมงเหมือนเดิม — ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย

    ดังนั้น
    ถ้าเลื่อนเขตเวลา แต่ก็เลื่อนเวลาทำงานตาม
    = ไม่ช่วยเรื่องเศรษฐกิจ
    = แต่เพิ่มภาระให้คนใช้ชีวิตตามสภาพอากาศจริง
    = ได้ไม่คุ้มเสีย
     

    แล้วพ่อคนหัวหมอก็บอกว่า เลื่อนเฉพาะภาคเอกชน แต่ ไม่เลือด ภาคราชการ ธนาคาร การเงิน ตลาดหุ้น สิ


    ลองคิดถึง บริษัทเอกชน หรือร้านค้า ที่ไปฝากเงินธนาคาร แล้ว ปิดเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงสิ และก็จะกลายเป็นว่า ไม่ใช่การแก้ปัญหา เรื่องเวลาไทยกับสิงคโปร์ แต่เป็นการเอาปัญหาที่ว่า มาโยนใส่หน้าภาคเอกชนในประเทศไทยแทน


    หรือสรุปคือ
    ถ้าใช้ตรรกะ ว่า ก็แค่เปลี่ยน UTC+8 แล้วเลื่อนเวลาเริ่มงานให้เหมือนเดิม ก็จบ!

    ❗ เปลี่ยนเวลาแต่ก็เลื่อนเวลาทำงานกลับ = ไม่ได้ช่วยอะไรทางเศรษฐกิจเลย แถมสร้างความวุ่นวายเรื่อง เวลาในประเทศอีก

     
    🧱 แล้วถ้า “ไม่เลื่อนเวลางานภาครัฐ-ธนาคาร” แต่ให้เอกชนไปเลื่อนเอง?

    บริษัทเอกชนจะฝากเงิน → ธนาคาร เวลาเปิดปิดเหลื่อมกัน 1 ชั่วโมงจากเดิม

    ต้องปรับเวลาแยกกันวุ่นวาย ระหว่างภาครัฐ/เอกชน

    ลูกจ้างงง คนทำธุรกิจปวดหัว

    = ระบบไม่เป็นหนึ่งเดียว → ยิ่งยุ่งกว่าเดิม

    ❗ ไม่เลื่อนเวลางานพร้อมกันทั้งระบบ = สร้างความปั่นป่วนใหม่ให้ภายในประเทศเอง



    เพราะฉนั้น ประเด็นการเลื่อนเวลาทำงาน ไม่ว่าจะเลื่อนทั้งหมด หรือบางส่วน ปัดตกไป


    แล้ว อีกเรื่อง ลองคิดว่า ประเทศเพื่อนบ้าน เปลี่ยนเวลาให้ตรงกับไทย
    หรือถ้าไทยต้องเปลี่ยนเวลาไปตรงกับประเทศเพื่อนบ้าน สมุติว่าเป็น กัมพูชา 
    คุณรู้สึกอะไรไหม?
    ถ้าไม่รู้สึกอะไร ไม่เป็นไร แต่คนเขมรรู้สึกแน่นอน

      ในอดีต ก็มี ประเทศที่เปลี่ยนเวลาเพื่อ “ซิงค์กับเจ้าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ”
    มักเป็นประเทศที่อยู่ในฐานะที่อ่อนกว่า หรืออยากเอาใจเจ้าใหญ่ในภูมิภาค หรือต้องการผลประโยชน์ จากการเปลี่ยนเขตเวลา


    แล้วถ้าจะอ้างว่า “เลื่อนเวลาเพื่อซิงค์กับ มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์,บลูไน”?


    ปัจจุบันเราก็ทำการค้ากับญี่ปุ่น, เกาหลี, ยุโรป, สหรัฐ ซึ่งเวลาต่างกันหลายชั่วโมงอยู่แล้ว — และเราก็จัดการมันได้อยู่ดี
    บริษัทใหญ่ ๆ รู้ดีว่าต้อง ว่าจะทำยังไง มันไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ที่จะไม่รู้ว่า ญี่ปุ่น เร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง

    อย่าโยนภาระของคนทำธุรกิจข้ามชาติ มาให้ประชาชนทั้งประเทศต้องฝืนธรรมชาติของตัวเอง

    🔚 สรุปแบบชัด ๆ:เวลาธรรมชาติของไทย คือ UTC+7 และมันเหมาะกับวิถีชีวิตของคนส่วนใหญ่
    การเปลี่ยนเป็น UTC+8 อาจได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจบางจุด
    แต่กลับทำลายคุณภาพชีวิต สุขภาพ และจังหวะชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่
    เราควรตั้งคำถาม ว่าผลประโยชน์ที่ได้คุ้มค่ากับต้นทุนทางสังคมจริงหรือไม่?

    ไม่ใช่หน้าที่เรา แต่เป็นหน้าที่ สส. หรือ รัฐบาลที่เราเลือกไป ว่าเขาจะเอาแบบไหน

    แล้วการที่ไทยจะทิ้งการเป็นศูนย์กลางภูมิภาค  มันได้มากกว่าเสียงั้นหรือ?
    การเลือกซิงค์เวลากับประเทศที่อยู่ไกลออกไป จะส่งผลกระทบต่อสถานะการเป็นศูนย์กลางของไทยในภูมิภาคอินโดจีนอย่างไร?"

    วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2568

    ทาซิลิโคนแบบไหน เย็นที่สุด

     ทาซิลิโคนแบบไหน เย็นที่สุด  เป็นคำถาม ที่ถามกันมาตลอด ไม่ว่า 10ปีก่อนถามยังไง วันนี้ก็ถามเหมือนเดิม

    ต้องบอกก่อนว่าร้านส่วนใหญ่ ชอบ ทาซิลิโคน แบบจุด หรือแบบเมล็ดถัวเขียว เมล็ดข้าว
    เพราะง่าย ไว ไม่เปื้อน และประหยัด

    ซึ่งถือว่าดีงามพระราม8 แล้ว 

     แต่ถ้าย้อนกลับไปสมัยก่อน ที่ซิลิโคนบ้านหม้อ ที่มีค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อน ที่ แย่กว่าอากาศ คือ มีมึงไวทำไมนี้ บอกเลย ถ้ายิ่งทาหน้ายิ่งแย่ 

    แต่มาตอนนี้ เรามีซิลิโคนดีๆ แต่ มันก็ไม่ได้ดีเท่าโลหะของซิงค์ระบายความร้อน การทาให้หนา มันก็ไม่ดี แถมแพงอีกด้วย

    พูดมาซะยาว  ทาแบบไหนดีกว่ากัน

    ถ้าในมุมของ Thermaltake  ก็คงบอกว่า ทาและปาดเป็นรูปรังผึ้ง ตามภาพ

     


     


     อันนี้เขาบอกเขาคิดมาดีแล้ว
    https://th.thermaltake.com/tg-30-thermal-compound.html

    ถ้าใคร เป็นแฟนบอย ก็ไปซื้อแล้วไปทาแบบรังผึ้ง  ถือว่าดี

    แต่เรามาดูวิธีการบ้านๆกันดีกว่า

    ที่คนทั่วไป ร้านทั่วไป  ทำกัน
    แบบจุด คือจุดไปตรงกลาง cpu ตรงๆ อย่าให้มากไปหรือน้อยไป
    แบบถั่วเขียว หรือเมล็ดข้าว คือ บีบซิลิโคนลงไปตรงกลาง ขนาดราวๆ เมล็ดถั่วเขียว หรือ เมล็ดข้าว 

    (ให้ใหญ่กว่าเล็กน้อย ห้าม เล็กกว่าเด็ดขาด)

    เอาละสองวิธีนี้ เวลาผมแกะออกมา  ซิลิโคนมันจะไปไม่ถึงมุม แต่ไม่มีปัญหาสำหรับ CPU รุ่นไม่ใหม่ไม่แรงมาก เพราะมันมีแค่ 2-6 คอร์
    อย่างที่บอกไปตอนแรก วิธี นี้ สะดวก รวดเร็ว และง่าย ประหยัด และนิยม 

    ถัดมา คือ เริ่มเปลืองแล้ว
    บีบเป็นเส้นตรง  1เส้น 2เส้น 3เส้น ตามกำลังศรัทธา ล้นมาก็ปาดทิ้งกลัวอะไร
    หรือ ทำเป็นเครื่องหมาย ถูก เครื่องหมายกากบาท ก็ได้

    ต่อ มาก็แบบหลายจุด

    4 จุด
    5 จุด
    หรือมากกว่านั้น
    ได้หมด ขอแค่ให้กะ ให้ทั่วๆกัน แบบสี่จุด หรือ 5จุด แบบลูกเต๋า ก็ได้
    แบบนี้จะเปลืองหน่อย ถ้ากะพลาด 

    และแบบสุดท้าย คือแบบปาด
    ซึ่งหลายคน ซื้อซิลิโคนมาเขาจะแถมไม้พาย มาให้ปาดด้วยอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ บัตร ATM มาปาดแต่อย่างใด 

    ผู้ผลิตเขาเตรียมมาให้แล้ว

    โดยที่หลักการปาด คือให้ CPU มีซิลิโคนทั่วถึงและสม่ำเสมอกัน อันนี้ต้องใช้ฝีไม้ลายมือพอตัว
    อย่าคิดว่าใช้วิธีการนี้จะประหยัด เพราะ จะมีซิลิโคนจำนวนมาก ติดไปกับไม้พาย หรือสิ่งที่ใช้ปาด 


    เอาละ มาดูผลกัน อันนี้ มีคนเทสไว้ให้แล้ว ผมแค่เอาผลเทสมาเฉยๆ


      Tech Illiterate  https://www.youtube.com/watch?v=ofyNgJyhGuc

    จาก ภาพแสดงให้เห็นว่า แบบ 5จุด เย็นที่สุด
    คือ 76.0  ํ  

    และอันดับสองมาคู่กันคือ
    แบบ กากบาท และแบบปาด
    ที่ 76.1 ํ

    ถัดมา อันดับ 4 เป็นแบบเส้น
    76.3 ํ

    และ อันดับ 5 ได้แก่ แบบจุด
    76.4 ํ

    และรองบ๊วย คือ แบบ เมล็ดถั่วเขียว หรือเมล็ดข้าวสาร
    76.5 ํ

    และ แบบ จุด เล็ก หรืออีกนัย หนึ่ง จะแบบ ข้าวสาร ถั่วเขียว หรือแบบจุด ถ้า ใส่ ซิลิโคน น้อยเกินไป ก็อาจจะให้ พุ่ง ไป 80 องศา++ ได้
    อันนี้ต้องระมัดระวัง ไม่จุดน้อยเกินไป

    ส่วนแบบ รังผึ้ง ด้านบนสุด มีผลเทส แต่ไม่ได้เทสด้วยกัน จึงเอามาเปรียบเที่ยบไม่ได้


    แล้วการทาซิลิโคน  มันต้องใช้ฝีมือด้วย โดยเฉพาะวิธีปาด เพราะเนื้อซิลิโคนบางเจ้าเหลว บ้างเจ้าเป็นก้อน บ้างเจ้าเหนียวเป็นตังเม แม้แต่อุณหภมิห้อง ก็มีผลต่อความเหนียวอีกด้วย
    ดังนั้นการปาด ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่

    มือใหม่ ที่ไม่งกเกินไป ควรใช้ แบบ 5จุด ตามผลเทส ดีที่สุด และไม่ต้องกังวล เรื่อง ซิลิโคนไหลไปไม่ถึงมุม
    แล้วไม่ต้องกังวลถึงความหนืด ซิลิโคนด้วย เราติดซิง แล้วค่อยๆขันน็อต โดยขันน็อต จากมุมใดมุมหนึ่งก่อน แล้ว ไล่ไปมุมตรงข้าม แล้ว ค่อยไปด้านตรงข้ามเป็นอันดับสาม ( หรือด้านที่ติดกันอยู่ด้านเดียวกับน็อตอันแรก หรือ จะด้านเดียวกันก็ได้ ) แล้ว ไป อีกอันที่เหลือ วนไปเรื่อยๆ จนแน่พอดี แล้วมันจะดันซิลิโคนกระจายไปเอง