อันนี้ ผมกังวล เพราะ แม้แต่คุณพ่อและคุณแม่ผมก็ฉีด ทั้งคู่ คนละหลายเข็ม และคุณพ่อผมก็เสียชีวิตเพราะโควิด ทั้งที่ฉีด mRNA ไปหลายเข็ม
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Infection เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2025 ได้วิเคราะห์การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในบุคลากรสาธารณสุขในจังหวัดบาร์เซโลนา ประเทศสเปน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของแอนติบอดีชนิด IgG หลังจากได้รับวัคซีน mRNA (เช่น Pfizer หรือ Moderna) หลายเข็ม .Journal of Infection
https://www.journalofinfection.com/article/S0163-4453(25)00067-2/fulltext
1. การเปลี่ยนแปลงของแอนติบอดีหลังจากใช้ mRNA ซ้ำๆ
หลังจากฉีดวัคซีน mRNA ไปแล้ว 3 เข็มขึ้นไป พบว่าระบบภูมิคุ้มกันมีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการเพิ่มขึ้นของแอนติบอดีชนิด IgG4 และ IgG2 อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ IgG4 ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 11 เท่าหลังจากเข็มที่สาม ซึ่งแอนติบอดีชนิดนี้มีคุณสมบัติที่ไม่กระตุ้นการทำลายเชื้อโรค (non-cytophilic) ต่างจาก IgG1 และ IgG3 ที่มีบทบาทในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดเชื้อโรค (cytophilic) .
2. ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้
การเพิ่มขึ้นของ IgG4 และ IgG2 มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการติดเชื้อ SARS-CoV-2 โดยเฉพาะในผู้ที่ได้รับวัคซีน mRNA หลายเข็ม โดยพบว่า:
-
ระดับ IgG4 ที่เพิ่มขึ้น 10 เท่ามีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงการติดเชื้อแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้น 1.8 เท่า
-
การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนของแอนติบอดีที่ไม่เป็นไซโตฟิลิก (IgG4 + IgG2) ต่อแอนติบอดีที่เป็นไซโตฟิลิก (IgG1 + IgG3) มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น 1.5 เท่า
นอกจากนี้ แอนติบอดี IgG4 ยังมีคุณสมบัติในการยับยั้งการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การทนต่อแอนติเจนและลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ .
3. ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน
การเพิ่มขึ้นของ IgG4 และ IgG2 มีผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันดังนี้:
-
ลดความสามารถในการยับยั้งไวรัส (neutralizing activity)
-
ลดการมีส่วนร่วมของตัวรับ Fc ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเรียกเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์นักฆ่าธรรมชาติ (natural killer cell) และเซลล์ฟาโกไซต์ (phagocytic cell) ลดลง
-
ลดการป้องกันภูมิคุ้มกันโดยรวม
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการฉีดวัคซีน mRNA ซ้ำๆ อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ .
อันนี้ส่วนของหมอธี ครับ
https://www.facebook.com/share/p/18iHoL5BT7/
วัคซีนโควิด mRNA ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกัน เปลี่ยนคลาส เป็นชนิดไม่สู้เชื้อ
รายงานในวารสาร journal of Infection รับลง วันที่ 12 มีนาคม 2025
คณะทำงานจากสเปน ออสเตรเลีย แคนาดา
วิเคราะห์ชนิดของแอนติบอดี IgG subclass C1q และ Fc gammaR และ ความสามารถในการยับยั้งไวรัส (neutralizing activity)
ทั้งนี้ทำการศึกษาและติดตามในบุคลากรสาธารณสุขในสามแขวงของจังหวัดบาร์เซโลนาประเทศสเปน
(รายละเอียดการศึกษาและกระบวนวิธีการวิเคราะห์รวมการวีธีทางแลป
1. การเปลี่ยนแปลงของแอนติบอดีหลังจากใช้ mRNA ซ้ำๆ
หลังจากฉีด mRNA เช่น Pfizer หรือ Moderna ไปแล้ว 3 ครั้งขึ้นไป ระบบภูมิคุ้มกันจะเริ่มสร้างแอนติบอดี IgG4 (และ IgG2 ) เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลการศึกษาพบว่าระดับ IgG4 เพิ่มขึ้นเกือบ 11 เท่า (ค่ามัธยฐาน 10.85 เท่า) หลังจากรับวัคซีนโดสที่สาม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในโปรไฟล์แอนติบอดี
ในทางตรงกันข้าม การตอบสนองของ IgG1 และ IgG3 นั้นมีเพียงเล็กน้อยหรือลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
แอนติบอดีชนิดเหล่านี้ คือ IgG4 และ IgG2 เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “non-cytophilic "ซึ่งหมายความว่าแอนติบอดีเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรมากในการคัดเลือกเซลล์ภูมิคุ้มกันเพื่อโจมตีไวรัส แตกต่างอย่างมากจาก IgG1 และ IgG3 ซึ่งเป็น “cytophilic” ที่ทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันเพื่อกำจัดการติดเชื้อ
ผลการสลับคลาสของแอนติบอดีไม่ได้พบในผู้ที่ได้รับวัคซีนเวกเตอร์อะดีโนไวรัส เช่น แอสตร้าหรือในผู้ที่ได้รับการติดเชื้อตามธรรมชาติ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับแพลตฟอร์มการฉีด mRNA
2. เหตุใดสิ่งนี้จึงสำคัญ?
IgG4 และ IgG2 ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัสได้อ่อนแอเท่านั้น แต่ยังฝึกให้ร่างกายทนต่อการสัมผัสต่อ ตัวกระตุ้น ได้ด้วย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่มักพบในโรคภูมิแพ้หรือการติดเชื้อเรื้อรัง
การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า:
* ระดับ IgG4 เพิ่มขึ้น 10 เท่ามีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงการติดเชื้อแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้น 1.8 เท่า (อัตราส่วนความเสี่ยง [HR] = 1.8; 95% CI: 1.2–2.7)
* การเพิ่มขึ้น 10 เท่าของอัตราส่วนของแอนติบอดีที่ไม่เป็นไซโตฟิลิก (IgG4 + IgG2) ต่อแอนติบอดีที่เป็นไซโตฟิลิก (IgG1 + IgG3) มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น 1.5 เท่า (อัตราผลตอบแทน = 1.5; 95% CI: 1.1–1.9)
3. ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การศึกษาพบว่าระดับ IgG4 และ IgG2 ที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับ:
* การทำงานของแอนติบอดีที่สู้กับไวรัสลดลง (กล่าวคือ แอนติบอดีมีความสามารถในการบล็อกไวรัสได้น้อยลง)
* การมีส่วนร่วมของตัวรับ Fc ลดลง ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเรียกเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์นักฆ่าธรรมชาติ natural killer cell และเซลล์ฟาโกไซต์ phagocytic cell ลดลง
* การป้องกันภูมิคุ้มกันโดยรวม
ปริมาณ mRNA ที่มากขึ้น → IgG4 ที่มากขึ้น (↑11 เท่า) → ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่สูงขึ้น (↑1.8 เท่า)
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการฉีด mRNA ซ้ำๆ จะไปตั้งโปรแกรมระบบภูมิคุ้มกันใหม่ในลักษณะที่ ทำให้ร่างกายอ่อนแอ สิ่งนี้จะมองเห็นได้ชัดเจนกับแพลตฟอร์ม mRNA ทั้งหมด ไม่ว่าแอนติเจนเป้าหมายจะเป็นอะไรก็ตาม
การศึกษานี้ตอกย้ำผลการศึกษาที่มีมาก่อนหน้านี้หลายรายงาน และอธิบายได้ว่าทำไมเมื่อฉีดมากเข็มขึ้น กลับติดมากขึ้น และทำไมร่างกายอ่อนแอ ต่อการติดเชื้อใหม่แม้ไม่ใช่โควิด รวมทั้งภูมิคุ้มกันที่คอยปกป้องไม่ให้เชื้อที่ซ่อนอยู่ในร่างกายปะทุขึ้น
ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
และ
ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต