วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2568

'ตู้สติกเกอร์ ห้ามผู้ชายเข้า ' สมเหตุสมผลในญี่ปุ่น แต่ถูกประณามจากโลกตะวันตก

  'ตู้สติกเกอร์ ห้ามผู้ชายเข้า ' สมเหตุสมผลในญี่ปุ่น แต่ถูกประณามจากโลกตะวันตก


*คำเตือน ผมอยู่ข้างญี่ปุ่น  อาจทำให้ Woke ไม่พอใจ แต่ไม่เป็นไร โพสฝ่ายนั้นเยอะแยะ ต้องมีโพสนี้ถ่วงดุล*
 ตู้สติกเกอร์ใน ประเทศญี่ปุ่น "ห้ามผู้ชายเข้ามาถ่าย"ทำให้ กลุ่มเท่าเทียม  ที่ยึดถือหลักการไม่เลือกปฏิบัติ (Non-Discrimination) ในโลกตะวันตก  ออกมาประนามกัน ในชุมชน มานานแล้ว 
ทั้งที่ เรื่องนี้ เป็นปกติและสมควรทำ ในญี่ปุ่น แต่สำหรับฝรั่งต่างชาติ กลับด่าทอโดยที่จะไม่ยอมทำความเข้าใจ (*มีตัวอย่าง)
ทั้งที่เรื่องนี้มันมีปัญหามาก่อน และนี้คือการป้องการปัญหานั้น เพื่อปกป้องน้องๆ เพศหญิง ต่างหาก 
เรียงเป็นข้อๆ

อย่างแรก: ผู้ชายแปลกหน้า หรือลุงหัวล้านแบบในโดจิน ไม่ใช่กลุ่มลูกค้า   ของตู้สติกเกอร์ 

 กลุ่มลูกค้าหลักของตู้สติกเกอร์หรือ "พุริคุระ" คือ นักเรียนหญิง วัยมัธยมไปจนถึงนักศึกษามหาวิทยาลัย พวกเธอมาเพื่อใช้เวลากับเพื่อน, สร้างความทรงจำ, และสนุกสนานในพื้นที่ของตัวเอง แต่เมื่อมีคนที่ไม่ใช่กลุ่มลูกค้า เช่น ผู้ชายที่มาคนเดียว หรือที่ดูไม่น่าไว้วางใจ เข้ามาปะปนในพื้นที่ มันไม่ใช่แค่ "ลูกค้าคนใหม่" แต่มันคือ "ความเสี่ยง" ที่เพิ่มขึ้นมาทันที เพราะเคสปัญหาที่เคยเกิดขึ้น ทั้งการแอบถ่าย, การลวนลาม, หรือแค่การยืนจ้องมองจนทำให้เด็กรู้สึกอึดอัด หรือที่ร้ายแรงกว่านั้น

 

อย่างที่สอง: ที่นี่ไม่ใช่แค่ตู้ถ่ายรูป แต่คือ "ห้องนั่งเล่น" ของสาวๆ

ต้องเข้าใจก่อนว่า "พุริคุระ" ไม่ใช่แค่ตู้สี่เหลี่ยมสำหรับถ่ายรูปติดบัตร แต่มันคือ พื้นที่กึ่งส่วนตัว ที่สาวๆ จะมาปลดปล่อยความเป็นตัวเอง ทั้งแต่งหน้าเติมแป้ง, จัดผม, ลองชุดคอสเพลย์ที่ร้านมีให้เช่า, หรือซ้อมโพสท่าตลกๆ แบบไม่ต้องอายใคร บรรยากาศมันเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเป็นกันเอง

ลองจินตนาการว่าถ้ามีผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เดินเข้ามาใน "ห้องนั่งเล่น" นี้แล้วยืนอยู่เงียบๆ บรรยากาศจะเปลี่ยนไปทันที ความสบายใจหายวับไป กลายเป็นความหวาดระแวง ต่อให้เขาไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม มันก็ทำลาย "พื้นที่ปลอดภัย" (Safe Space) ของลูกค้าไปแล้ว มันต่างอะไรกับการที่มีผู้ชายแปลกหน้าไปนั่งอยู่ในห้องแต่งตัวผู้หญิงล่ะครับ? ต่อให้เขาอ้างว่ามาใช้สิทธิ์เฉยๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องอยู่ดี


อย่างที่สาม: "การป้องกัน" ดีกว่า "การไล่จับ"

บางคนอาจจะบอกว่า "ก็ถ้าใครทำผิดก็จับคนนั้นสิ จะไปห้ามผู้ชายดีๆ คนอื่นทำไม?" ฟังดูดีในเชิงหลักการ แต่ในโลกธุรกิจและความเป็นจริงมันใช้ไม่ได้ครับ การรอให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นก่อนแล้วค่อยจัดการ มันหมายถึง:

  1. มีเหยื่อเกิดขึ้นแล้ว: มีเด็กผู้หญิงถูกคุกคามและได้รับประสบการณ์แย่ๆ ไปแล้ว

  2. ร้านเสียชื่อเสียง: เกิดเรื่องราวใหญ่โต ลูกค้าคนอื่นก็เสียบรรยากาศ ร้านกลายเป็นข่าวด้านลบ

  3. จัดการยาก: การจะไปไล่จับหรือแจ้งความมันวุ่นวายและไม่ทันท่วงที

ดังนั้น การ "ป้องกันไว้ก่อน" ด้วยการติดป้ายให้ชัดเจนเพื่อตัดความเสี่ยงออกไปตั้งแต่แรก จึงเป็นทางออกที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับผู้ประกอบการ มันคือการปกป้องลูกค้าส่วนใหญ่และปกป้องธุรกิจของตัวเองไปพร้อมกัน

ส่วนฝ่ายโลกตะวันตก นี้คือ *ตัวอย่าง ทีสรุป มา 10 ข้อ

  1. เป็นการเลือกปฏิบัติทางเพศอย่างชัดเจน (Blatant Sexism):

    นี่คือข้อหาที่รุนแรงและพบบ่อยที่สุด พวกเขามองว่าการห้ามคนเข้าร้านโดยอิงจากเพศสภาพ คือการเลือกปฏิบัติที่ไม่ต่างอะไรจากการเหยียดเชื้อชาติหรือสีผิว และ "การเหยียดเพศชาย (Reverse Sexism)" ก็ยังคงเป็นการเหยียดเพศอยู่ดี

  2. คือการเหมารวมว่าผู้ชายทุกคนคืออาชญากร (Stereotyping All Men as Criminals):

    กฎนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าผู้ชายที่มาคนเดียวคือภัยคุกคาม ซึ่งเป็นการเหมารวมที่ดูถูกและไม่ยุติธรรมต่อผู้ชายส่วนใหญ่ที่เป็นคนดีและไม่ได้มีเจตนาร้าย

  3. มาตรฐานสองมาตรฐาน (Double Standard):

    พวกเขามักจะตั้งคำถามว่า "แล้วถ้ากลับกันล่ะ?" (What if the roles were reversed?) หากมีร้านไหนติดป้ายว่า "ห้ามผู้หญิงเข้าใช้บริการคนเดียว" จะต้องกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกและถูกประณามอย่างหนักทันที นี่จึงเป็นมาตรฐานสองมาตรฐานที่ยอมรับไม่ได้

  4. ควรแก้ปัญหาที่คน ไม่ใช่ที่เพศ (Punish the Action, Not the Gender):

    แนวคิดแบบตะวันตกคือ ถ้ามีคนทำผิด ก็ควรลงโทษผู้กระทำผิดเป็นรายบุคคล ไม่ใช่การออกกฎเพื่อจำกัดสิทธิของคนทั้งกลุ่ม ควรใช้วิธีอื่นแก้ปัญหา เช่น เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย, ติดกล้องวงจรปิด หรือมีบทลงโทษที่รุนแรง

  5. ละเมิดสิทธิของผู้บริโภคและนักท่องเที่ยว (Violates Consumer/Tourist Rights):

    ในฐานะนักท่องเที่ยวหรือผู้บริโภคที่พร้อมจ่ายเงิน พวกเขาควรมีสิทธิ์ที่จะได้ลองประสบการณ์ทางวัฒนธรรมนั้นๆ การถูกปฏิเสธเพียงเพราะเพศสภาพ ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง

  6. ไม่สมเหตุสมผลและมีช่องโหว่ (It's Illogical and Has Loopholes):

    ผู้ประสงค์ร้ายจริงๆ ก็สามารถหาเพื่อนผู้หญิงมาด้วยเพื่อใช้เป็น "บัตรผ่าน" เข้าไปได้อยู่ดี หรือพวกเขาก็สามารถไปก่อกวนที่อื่นนอกตู้ถ่ายรูปได้ กฎนี้จึงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอจริงๆ

  7. สร้างความรู้สึกอับอายและไม่ต้อนรับ (It's Humiliating and Unwelcoming):

    มีเรื่องเล่ามากมายจากนักท่องเที่ยวชายที่เดินทางคนเดียวในญี่ปุ่น แล้วอยากลองถ่ายพุริคุระดูบ้าง แต่กลับถูกพนักงานปฏิเสธ ซึ่งสร้างความรู้สึกอับอายและรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่ต้อนรับ

  8. เป็นแนวคิดที่ล้าหลังและตอกย้ำภาพจำ (It's Regressive and Reinforces Stereotypes):

    นักวิจารณ์บางกลุ่มมองว่ากฎนี้ตอกย้ำภาพจำที่ว่า "ผู้หญิงอ่อนแอและต้องการการปกป้องเสมอ" ในขณะเดียวกันก็สร้างภาพว่า "ผู้ชายคือผู้ล่าโดยธรรมชาติ" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่ส่งเสริมความเท่าเทียมในระยะยาว

  9. มันก็แค่ตู้ถ่ายรูป ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น? (It's Just a Photo Booth, Why So Serious?):

    บางคนมองว่านี่เป็นการตอบสนองที่เกินกว่าเหตุ (Overreaction) ต่อปัญหาที่อาจไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น และทำให้บรรยากาศของความสนุกสนานกลายเป็นความหวาดระแวงไป

  10. แล้วคู่รักเพศเดียวกันล่ะ? (What About Same-Sex Couples?):

    กฎนี้สร้างความสับสนและอาจเป็นการเลือกปฏิบัติต่อคู่รักชาย-ชาย ที่แค่อยากจะมาถ่ายรูปคู่กันเหมือนคู่รักอื่นๆ แต่กลับถูกห้ามเพราะกฎที่ไม่ได้ไตร่ตรองถึงความหลากหลายทางเพศ

จะเห็นได้ว่าข้อโต้แย้งส่วนใหญ่มาจากรากฐานความคิดที่ให้ความสำคัญกับ "สิทธิส่วนบุคคล"  หรือ "เสรีภาพส่วนบุคคล" แล้วที่ผม(poipoi) รวมรวมมา จะมีแต่ฝ่ายตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ เพราะ ผมอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก และเวลาค้น ไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่น ก็เลยเจอ แต่เม้นฝรั่ง

ซึ่งเคสแบบนี้ ผมก็นึกถึง ข้อเรียกร้อง ที่จะให้ ผู้ชาย หรือ ทรานส์เจนเดอร์ ที่ยังไม่แปลงเพศ เข้าห้องน้ำหญิงได้เลย เหมือนจะเป็น "สิทธิในการเข้าถึงพื้นที่"   "ความเท่าเทียม" และ "การไม่เลือกปฏิบัติ" 
ซึ่งผมเคยกล่าวไว้แล้วในโพส
https://poipoi-test.blogspot.com/2025/07/jk-rowling.html

J.K. Rowling ฟาด! คนที่เรียกร้องสิทธิให้เพศชายทางชีววิทยา เข้าห้องน้ำหญิง แรง!

 


 แล้วเราจะเห็นได้ว่า ความเสียหาย ดันเกิดขึ้นจากคนดีย์ ที่เรียกร้องสิทธิ นั้น จน JK เอามาฟาด กลับจุกๆ ผมเอามาให้ดูเพราะรู้สึกว่าคล้ายๆกัน
เอาละกลับเข้าเรื่อง

 

นี้คือตารางเปรียบเทียบ ถึงจะไม่ครบถ้วน แต่น่าจะทำให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้นครับโดย

ประเด็น (Issue)มุมมองตะวันตก (Western Perspective)
หลักการพื้นฐานสิทธิส่วนบุคคลสากล (Universal Rights)
ทุกคนควรมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าถึงบริการสาธารณะ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยเพศ
แนวทางการแก้ปัญหาจัดการเมื่อเกิดเหตุ (Reactive)
ถ้ามีคนทำผิด ก็ลงโทษคนนั้นเป็นรายบุคคลไป ไม่ควรเหมารวมคนทั้งกลุ่ม
จุดโฟกัสตัวบุคคล (Individual)
โฟกัสที่สิทธิของ "ปัจเจกบุคคล" ว่าถูกละเมิดหรือไม่ ผู้ชายดีๆ ก็ควรมีสิทธิ์เข้าไปถ่ายรูปได้
มุมมองต่อตัวกฎการเลือกปฏิบัติ (Discrimination)
มองว่ากฎนี้คือการ "เหมารวม" และ "เลือกปฏิบัติทางเพศ" ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชน
พื้นฐานของความคิดอิงตามอุดมการณ์ (Ideology-Based)
ยึดมั่นในหลักการความเท่าเทียมเชิงอุดมคติ ที่ทุกคนต้องเท่ากันในทุกสถานการณ์


ประเด็น (Issue)มุมมองญี่ปุ่น (Japanese Perspective)
หลักการพื้นฐานความปลอดภัยของกลุ่ม (Group Safety)
ความสงบสุขและความปลอดภัยของลูกค้าส่วนใหญ่สำคัญกว่าสิทธิของคนส่วนน้อยที่อาจสร้างปัญหา
แนวทางการแก้ปัญหาป้องกันล่วงหน้า (Proactive)
สร้างกฎเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นเลย ดีกว่ารอให้เกิดเรื่องแล้วค่อยตามแก้
จุดโฟกัสบรรยากาศ (Atmosphere)
โฟกัสที่ "บรรยากาศโดยรวม" และความรู้สึกสบายใจของลูกค้ากลุ่มหลัก ซึ่งคือผู้หญิง
มุมมองต่อตัวกฎการจัดการความเสี่ยง (Risk Management)
มองว่ากฎนี้เป็น "มาตรการบริหารความเสี่ยง" ทางธุรกิจ เพื่อรักษาฐานลูกค้าและชื่อเสียงของร้าน
พื้นฐานของความคิดอิงตามประสบการณ์ (Experience-Based)
ยึดตามข้อมูลและประสบการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้น ว่าปัญหามาจากคนกลุ่มไหนและพฤติกรรมใด

แล้วที่ผมหนักใจแทน คือ นักท่องเที่ยวตะวันตก พยายามกดดัน ให้ญี่ปุ่นเปลี่ยน ไม่ใช่แค่เรื่องนี้ ยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น อนิเมะญี่ปุ่น หรือ เรื่องเกอิชา  บางคนก็บอกว่าทำไม่ฉันจะถ่ายรูปไม่ได้ละ สุดท้าย ญี่ปุ่นเลยต้องออกกฎ เพื่อช่วยเหลือเกอิชา แล้ว ก็มีคนดิ้น 
นี้ตัวอย่าง




เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว ก่อน “เกียวโต” ห้าม! นักท่องเที่ยว เข้าตรอกส่วนตัวในเขตเกอิชา แต่นี้เป็นคลิปใหม่ เพิ่งโพส 

แล้วเรื่องนี้ ก็ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง นั่งท่องเทียวเต้นบนรถไฟในญีปุ่น แล้วที่ท่าทีคุกคามเด็กนักเรียนหญิง

จน มีเสียงด่า จากคนในชาติ และ ทำให้ต้องถอยป้ายนี้ออกมาติด


 แล้วแน่นอน โดนกลุ่ม Woke ด่า ประนาณ เช่น มันไม่ถูก มันน่าจะได้ หรือเป็นเสรีภาพ หรือนี้มันเหยียดสีผิว ทำไมต้องเป็นคนดำ 
คือ ไอ้ที่ก่อเรื่อง มันไม่ได้ผิดขาวอะสิ  ถ้าเปลี่ยน  จะกลายเป็นโกหกหรือใส่ความคนขาวไหม?
คลิป นี้เมิงเลย ทำคนดำอับอาย

แล้วแปลกมาก คลิป ก่อนหน้า เหมือนคลิป นักท่องเทียว แย่ๆ คุกคาม เกอิชาหลายคลิป หายไปจากยูทูป หายไปจริงๆ  หรือ แค่ผมหาไม่เจอ  
แต่ผมลงคลิปนี้ ก็ไม่น่าจะหาย (แต่ถ้าหายละ? เดียวผมลงภาพ ไว้ด้านล่าง ด้วยแล้วกันครับ) เคสนี้ คนส่วนใหญ่บนโลก (ที่ผมเห็นนะ) เห็นด้วยกับญี่ปุ่นนะครับ  ซึ่ง มากกว่าเคสเกอิชา ที่เคสนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเคส ฝ่ายซ้าย ที่ออกมา เข้าข้าง สิทธิ์ ในการถ่ายรูปเกอิชา  ( ที่ผมเห็นนะ อาจจะไม่ใช้ความจริงสัมบูรณ์ )
แล้วยังมีอีกหลายคนนะ แล้วภาพี่ผมเห็น ก็เป็นดำ 
แล้วไอ้ป้ายห้ามข้างบน ที่โดนหาว่า เหยียดคนดำ ยังมีอีกหลายป้ายเช่น
 

ทีบอกว่าญีปุ่น เหยียดคนดำ เป็น พวกเหยียดเชื้อชาติ  สาเหตุจาก x เม้นนี้ที่เอามาเปรียบเทียบ  กับภาพ คนดำสามคนเต้นบนรถไฟญี่ปุ่น 


จากบทความนี้ เราจะเห็นว่า ฝ่ายซ้ายตะวันตก หรือ WOKE เดือดดาล กับที่ ญี่ปุ่น ทำเรื่องเหล่านี้ 
ห้ามผู้ชายเข้าตู้สติกเกอร์
ห้ามถ่ายรูปเกอิชาในพื้นที่ส่วนตัว
ป้ายเตือนพฤติกรรมบนรถไฟ

ต้องบอกว่าไม่มีใครผิดที่คิดต่าง หรือไม่ชอบ แต่การยัดเยียด ให้คนอื่นต้องทำตามในสิ่งที่ตนต้องการนี้ มันใช่หรือ?

จริงๆทั้งสองฝ่าย ถือว่าไม่มีใครผิดต่างคนต่างถูก แต่คุณ อยากอยู่ในสังคมแบบไหน แน่นนอน มันอยู่ที่ตัวคุณ คุณอาจจะ เป็นชายวัยกลางคน ที่หน้าตาเหมือนหลุดออกมาจากโดจิน ที่มีจิตใจขาวสะอาด อยากแค่ 
เข้าตู้สติกเกอร์ ไปถ่ายสติกเกอร์ คุณ มีความสุข แต่ เด็กนักเรียนหญิงละ เขาสุข ไหม? ลองถามใจตัวเองดู 


เอาละ ผมมาสรุป สั้นๆ ว่า มันเป็นเรื่องของสังคมญีปุ่น ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อปกป้องคนของเขาเอง 
คนต่างชาติ ควรไปกดดันให้เข้าเป็นเปลี่ยนกฎไหม? ถึงจะอ้าง  เสรีภาพ สิทธิส่วนบุคคล ฯลฯ ก็ทำให้ผมนึกถึงเคส ให้เพศชาย ทางกายภาพ เข้าห้องน้ำหญิงนั่นละ ฝ่ายที่เรียกตัวเอง ผู้ตื่นรู้ ผู้ตาสว่าง หรือ สั้นๆว่า WOKE  ก็มาเรียกร้อง กับเคสนี้ เหมือนกัน 
ปัญหาของเรื่องนี้ คือ เขาคิดว่าความคิดตนคือ ความถูกต้องสัมบูรณ์  ทั้งที่ มันเคยเกิดเคสแย่ๆ จากแนวคิดนี้มาแล้ว  เพราะ ใครๆก็เป็นผู้หญิงได้ แค่บอกดังว่าตนคือผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องแปลงเพศ หรือ แต่งหญิงด้วยซ้ำ เลยมีเคส นักโทษ ชาย ที่บอกว่า ตัวเอง ใจเป็นหญิงแต่ชอบผู้หญิง ขอไปอยู่คุกหญิง แล้วไปข่มขืนนักโทษสาวจนท้อง
แล้วระบบยุติธรรม เชื่อจริงจังว่าเป็นผู้หญิง จน ศาลสั่งให้ อัยการใช้สรรพนาม she/her

https://abc7chicago.com/post/pronoun-use-center-rape-case-involving-former-chowchilla-central-california-womens-facility-prisoner-tremaine-carroll/15696730/