วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เทคโนแครตคืออะไร?

 


ระบบการปกครอง คตินิยมนักวิชาการ  หรือ เทคโนแครต (Technocracy) 

แนวคิด เทคโนแครต (Technocracy) คือระบบการปกครองที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ใช่ผู้ที่ได้รับความนิยมทางการเมือง แต่เป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคในสาขานั้นๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยน "ศิลปะการเมือง" ที่เต็มไปด้วยการต่อรอง ให้กลายเป็น "วิทยาศาสตร์แห่งการแก้ปัญหาสังคม" ที่เน้นประสิทธิภาพ ข้อมูล และเหตุผลเป็นหลัก

 

## 1. จุดเริ่มต้นโดยเพลโตและ "ราชาปราชญ์"

รากฐานของแนวคิดนี้ย้อนกลับไปถึง เพลโต นักปรัชญากรีกโบราณ ผู้ผิดหวังกับระบอบประชาธิปไตยที่ใช้เสียงของคนส่วนใหญ่ซึ่งขาดความรู้ ตัดสินประหารชีวิตโสกราตีส อาจารย์ของเขา

    แนวคิดหลัก: เพลโตเสนอแนวคิด ราชาปราชญ์ (Philosopher-King) ซึ่งคือผู้ปกครองที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค แต่เป็น "ผู้เชี่ยวชาญทางศีลธรรม" ผู้เข้าถึงความจริงสูงสุดเกี่ยวกับ "ความดี" และ "ความยุติธรรม"

    อุปมาเรื่องเรือ: เพลโตเปรียบรัฐเหมือนเรือที่กำลังล่องลอย โดยมีประชาชนเป็นเจ้าของเรือที่แข็งแรงแต่ขาดความรู้เรื่องการเดินเรือ, มีนักการเมืองเป็นลูกเรือที่แย่งกันคุมหางเสือทั้งที่ไม่มีความสามารถ และมี "นักปรัชญา" เป็นต้นหนที่แท้จริงซึ่งรู้ทิศทางลมและดวงดาว แต่กลับถูกมองว่าไร้ประโยชน์

    สาระสำคัญ: เพลโตเชื่อว่าการปกครองเป็นทักษะเฉพาะทางที่ต้องอาศัย "ความรู้ที่แท้จริง" ไม่ใช่มติของมหาชน เขาจึงวางรากฐานว่าอำนาจการปกครองควรมาจากผู้รู้แจ้ง ไม่ใช่เสียงข้างมาก

## 2. การเปลี่ยนผ่านสู่ "เทคโนแครต"

เวลาผ่านไปหลายศตวรรษจนถึงยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์ นิยามของ "ความรู้" ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เน้นปรัชญาและศีลธรรม กลายมาเป็นการให้คุณค่ากับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์และวัดผลได้ทางวิทยาศาสตร์

    กำเนิดผู้เชี่ยวชาญยุคใหม่: โลกทัศน์ใหม่มองว่าสังคมและธรรมชาติเป็นเหมือน "เครื่องจักร" ที่สามารถทำความเข้าใจและ "ออกแบบทางวิศวกรรม" ได้ สิ่งนี้ให้กำเนิดผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใหม่ คือ นักวิทยาศาสตร์และวิศวกร

    การเชื่อมโยงสู่การเมือง: นักคิดอย่าง แซงต์-ซิมง เป็นคนแรกๆ ที่นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ใช้กับสังคม เขาเสนอว่าสังคมไม่ควรถูก "ปกครองโดยมนุษย์" (government of men) ซึ่งเป็นการเมืองที่วุ่นวาย แต่ควรถูก "บริหารจัดการสรรพสิ่ง" (administration of things) อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนโรงงานอุตสาหกรรม โดยสภาของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร

## 3. เทคโนแครต: การปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค

แนวคิดนี้กลายเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุดในขบวนการเทคโนแครตที่สหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษ 1930 ซึ่งเกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่

    เป้าหมาย: ขบวนการนี้เสนอให้แทนที่นักการเมืองและนักธุรกิจด้วย วิศวกรและผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค เพื่อบริหารจัดการสังคมทั้งหมดเสมือนเป็น "ปัญหาวิศวกรรมขนาดใหญ่"

    ข้อเสนอ: พวกเขาต้องการยกเลิกระบบเงินตรา แล้วใช้ "ใบรับรองพลังงาน" ที่คำนวณมูลค่าจากพลังงานที่ใช้ผลิตสิ่งของนั้นๆ แทน เพื่อขจัดความสูญเปล่าและความเหลื่อมล้ำ

    สาระสำคัญของเทคโนแครต: แนวคิดของ ราชาปราชญ์ ของเพลโตได้วิวัฒนาการมาถึงจุดนี้  "ผู้ทรงความรู้" ไม่ใช่ปราชญ์ผู้รู้เรื่องคุณธรรมอีกต่อไป แต่คือ วิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ที่รู้เรื่องข้อมูล สถิติ และหลักการทางวิทยาศาสตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสังคมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ปราศจากความสูญเปล่า และบริหารจัดการทุกอย่างด้วยหลักการทางเทคนิคแทนที่อุดมการณ์ทางการเมือง


เอกสาร รายงานฉบับเต็ม คลิป ที่รายละเอียดเพื่อกดขยาย  


โหลดเอกสาร

https://docs.google.com/document/d/1J7OET0_OZTynK3JQo7YHrkYu35Wjs0v95vSBsLW3Wv4/ 
<summary>


จากอุตมรัฐสู่เทคโนแครต: ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาว่าด้วยการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญ


บทนำ: เทคโนแครตคืออะไร?

ในโลกยุคปัจจุบันที่ต้องเผชิญกับปัญหาสลับซับซ้อนเกินกว่าความเข้าใจของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การรับมือโรคระบาด การกำกับดูแลเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือความผันผวนของเศรษฐกิจดิจิทัล ได้เกิดคำถามสำคัญขึ้นในแวดวงรัฐศาสตร์ว่า การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ส่งผลกระทบในวงกว้างควรถูกชี้นำโดยเจตจำนงของประชาชนผ่านกระบวนการทางการเมือง หรือควรอยู่ในมือของผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ อย่างแท้จริง?
ใจกลางของคำถามนี้คือแนวคิดที่เรียกว่า "เทคโนแครต" (Technocracy) หรือ "คตินิยมนักวิชาการ" ซึ่งหากจะนิยามอย่างรวบรัด มันคือระบบการปกครองที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจไม่ได้ถูกเลือกจากคะแนนนิยมทางการเมือง แต่ได้รับเลือกจากความรู้และความเชี่ยวชาญทางเทคนิค (Technical Expertise) ในสาขาที่เกี่ยวข้อง 20 เป้าหมายสูงสุดของเทคโนแครตคือการเปลี่ยน "ศิลปะแห่งการปกครอง" (The Art of Politics) ที่เต็มไปด้วยการต่อรองผลประโยชน์และอุดมการณ์ ให้กลายเป็น "วิทยาศาสตร์แห่งการแก้ปัญหาสังคม" (The science of social engineering) ที่ตั้งอยู่บนฐานของข้อมูล ประสิทธิภาพ และความเป็นเหตุเป็นผล 22
เสน่ห์ของแนวคิดนี้อยู่ที่คำมั่นสัญญาถึงความมีประสิทธิภาพและความก้าวหน้า โดยเชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญจะสามารถวางแผนและดำเนินนโยบายที่ซับซ้อนในระยะยาวได้ดีกว่านักการเมืองที่ต้องกังวลกับคะแนนนิยมในระยะสั้น 26 อย่างไรก็ตาม เทคโนแครตก็ได้สร้างคำถามใหญ่หลวงต่อคุณค่าพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย นั่นคือปัญหาเรื่องความรับผิดชอบและความชอบธรรม: เราจะตรวจสอบหรือถอดถอนผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้มาจากเสียงของเราได้อย่างไร? 24
บทความนี้จะนำท่านย้อนรอยการเดินทางทางความคิดของแนวคิดอันทรงพลังนี้ โดยสำรวจวิวัฒนาการของมันตั้งแต่จุดกำเนิดทางปรัชญาในแนวคิด "ราชาปราชญ์" ของเพลโต ไปจนถึงการก่อร่างเป็นขบวนการทางสังคมที่เป็นรูปธรรมในยุคสมัยใหม่ เพื่อทำความเข้าใจถึงแก่นแท้ ข้อดี ข้อเสีย และมรดกที่ยังคงดังก้องอยู่ในโลกปัจจุบัน

ส่วนที่ 1: แบบอย่างโบราณ - อุตมรัฐของเพลโตและราชาปราชญ์

รากฐานทางปรัชญาของแนวคิดการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญนั้นหยั่งรากลึกย้อนกลับไปได้ถึงโลกยุคคลาสสิก โดยมีจุดกำเนิดที่สำคัญที่สุดในงานเขียนของเพลโต (Plato) นักปรัชญาชาวกรีกผู้ยิ่งใหญ่ แนวคิด "ราชาปราชญ์" (Philosopher-King) ของเขามิใช่ข้อเสนอเชิงเทคโนแครตในความหมายสมัยใหม่ แต่ถือเป็นต้นแบบทางปรัชญาที่สำคัญยิ่งสำหรับการมอบอำนาจปกครองให้อยู่ในมือของผู้ทรงความรู้ แทนที่จะเป็นมติของมหาชน วิสัยทัศน์ของเพลโตไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศทางความคิด แต่เป็นปฏิกิริยาตอบโต้อย่างลึกซึ้งและรุนแรงต่อความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ที่เขาได้ประสบมาด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับโสกราตีส (Socrates) อาจารย์ของเขา

1.1 บาดแผลจากโสกราตีส: บทวิพากษ์ที่ก่อตัวขึ้นจากวิกฤต

การทำความเข้าใจปรัชญาการเมืองของเพลโตจะสมบูรณ์ไปไม่ได้หากปราศจากการพิจารณาถึงเหตุการณ์อันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา นั่นคือการไต่สวนและการประหารชีวิตโสกราตีสในปี 399 ก่อนคริสตกาล 1 เหตุการณ์นี้เปรียบเสมือนบาดแผลทางใจ (Trauma) ที่ผลักดันให้เพลโตสร้างสรรค์ปรัชญาการเมืองขึ้นมาเพื่อตอบโต้และแก้ไขสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงของระบอบประชาธิปไตย โสกราตีสถูกตั้งข้อหาว่า "ไม่นับถือเทพเจ้าของนครรัฐ" และ "ชักจูงเยาวชนให้หลงผิด" 1 แต่สำหรับเพลโตแล้ว ข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นเพียงข้ออ้างของกลุ่มผู้มีอำนาจในระบอบประชาธิปไตยเอเธนส์ที่ต้องการกำจัดนักคิดผู้ไม่ยอมอ่อนข้อและตั้งคำถามกับภูมิปัญญาของผู้ปกครองอย่างไม่ลดละ 1
โสกราตีสวิพากษ์วิจารณ์ระบอบประชาธิปไตยเอเธนส์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่ระบบเปิดโอกาสให้ปัจเจกบุคคลที่เห็นแก่ตัวสามารถก้าวขึ้นสู่อำนาจและสร้างความมั่งคั่งได้โดยอาศัยเพียงวาทศิลป์และคำเยินยอเพื่อเอาใจฝูงชน 1 การประหารชีวิตบุรุษที่เพลโตเชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาที่สุดในเอเธนส์ด้วยมติของคณะลูกขุน 501 คน 1 ได้ยืนยันข้อสรุปของเขาว่า ประชาธิปไตยเป็น "รูปแบบการปกครองที่ฉ้อฉลและอยุติธรรม" 1 โดยเนื้อแท้ เป็นระบบที่มวลชนผู้ขาดความรู้สามารถถูกชักจูงโดยนักปลุกระดม (Demagogue) และวาทศิลป์ให้กระทำการอันอยุติธรรมอย่างมหันต์ได้ 2 บทวิพากษ์ของเพลโตจึงไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีที่เป็นนามธรรม แต่ถือกำเนิดขึ้นจากความล้มเหลวทางประวัติศาสตร์ที่จับต้องได้ของเอเธนส์ ซึ่งได้สังหารพลเมืองผู้ทรงปัญญาที่สุดของตนเอง 1 สิ่งนี้ได้สร้างแก่นกลางของความขัดแย้งที่จะดำเนินต่อไปในประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง นั่นคือการต่อสู้ระหว่าง "ความรู้ที่แท้จริง" (Episteme) กับ "วาทศิลป์ที่โน้มน้าวใจ" (Rhetoric)

1.2 อุปมาเรื่องเรือ: ภาพสะท้อนของรัฐที่ไร้ทิศทาง

เพื่อสาธิตให้เห็นถึงความบกพร่องของระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นรูปธรรม เพลโตได้นำเสนอ "อุปมาเรื่องเรือ" (Analogy of the Ship) อันโด่งดังในหนังสือ อุตมรัฐ (The Republic) เล่มที่ 6 6 อุปมานี้เปรียบเทียบนครรัฐเอเธนส์กับเรือลำหนึ่งที่กำลังล่องลอยอยู่ในทะเล โดยมีตัวละครเปรียบเทียบดังนี้:
เจ้าของเรือ: เป็นตัวแทนของปวงชน (Demos) ซึ่งแม้จะมีร่างกายใหญ่โตแข็งแรง (มีอำนาจทางการเมือง) แต่ก็ "หูตึง สายตาสั้น และไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการเดินเรือ" 6 สะท้อนมุมมองของเพลโตที่ว่ามวลชนนั้นมีอำนาจแต่ขาดความสามารถและสติปัญญาในการปกครอง
ลูกเรือ: เป็นตัวแทนของนักการเมืองและนักปลุกระดม พวกเขาต่างแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อเข้าควบคุมหางเสือเรือ โดยแต่ละคนเชื่อว่าตนเองควรได้เป็นกัปตัน ทั้งที่ไม่มีประสบการณ์หรือความรู้ความชำนาญใดๆ ที่สำคัญ พวกเขายืนกรานว่าการเป็นกัปตันนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะพิเศษ (techne) ใดๆ ทั้งสิ้น 6 ลูกเรือเหล่านี้ยังมัวเมาอยู่กับการบริโภคทรัพยากรบนเรืออย่างตะกละตะกลาม ซึ่งสะท้อนถึงการคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนของนักการเมือง
ต้นหนที่แท้จริง (True Navigator): เป็นตัวแทนของนักปรัชญาหรือราชาปราชญ์ เขาเป็นผู้มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับการเดินเรือ—รู้เรื่องดวงดาว ฤดูกาล และทิศทางลม (เปรียบได้กับการเข้าถึงมโนภาพหรือแบบ (Forms) แห่งความดีและความยุติธรรม) แต่กลับถูกลูกเรือคนอื่นๆ มองข้ามและเยาะเย้ยว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ 6
อุปมาเรื่องเรือนี้สรุปแก่นความคิดของเพลโตได้อย่างทรงพลังว่า การปกครองคือทักษะเฉพาะทางที่ต้องอาศัยความรู้และความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่สิทธิของคนทุกคนที่จะเข้ามาทำก็ได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ อุปมาดังกล่าวยังแฝงนัยถึงการยกย่องโครงสร้างการบังคับบัญชาแบบลำดับชั้นและไม่เป็นประชาธิปไตยของกองทัพเรือเอเธนส์ ซึ่งประสบความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ตรงกันข้ามกับความวุ่นวายของการเมืองในสภาประชาชน 6 เพลโตกำลังเสนอว่ารัฐควรถูกนำทางโดยผู้รู้แจ้ง ไม่ใช่ถูกปล่อยให้ล่องลอยไปตามกระแสความต้องการอันผันผวนของฝูงชนที่ถูกนักการเมืองไร้ความสามารถชักจูง

1.3 สถาปัตยกรรมแห่งอุตมรัฐ: ความรู้ในฐานะหลักการจัดระเบียบสังคม

จากบทวิพากษ์ประชาธิปไตย เพลโตได้เสนอพิมพ์เขียวสำหรับรัฐในอุดมคติที่เรียกว่า คัลลิโปลิส (Kallipolis) หรืออุตมรัฐ ซึ่งเป็นรัฐที่จัดระเบียบสังคมโดยมี "ความรู้" เป็นหลักการสูงสุด โครงสร้างของรัฐนี้สะท้อนโครงสร้างสามส่วนของวิญญาณมนุษย์ (เหตุผล, ความกล้า, และความปรารถนา) 7 โดยแบ่งพลเมืองออกเป็นสามชนชั้นตามธรรมชาติและความสามารถของแต่ละคน:
ชนชั้นผู้พิทักษ์ (Guardians) หรือ ราชาปราชญ์ (Philosopher-Kings): ชนชั้นปกครองซึ่งมีจำนวนน้อยที่สุด ถูกชี้นำโดยเหตุผล (logos) พวกเขาคือผู้ที่ผ่านการศึกษาอย่างเข้มงวดและยาวนานจนสามารถเข้าถึงความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับ "แบบ" แห่งความดีและความยุติธรรมได้
ชนชั้นผู้ช่วย (Auxiliaries) หรือ ทหาร: ชนชั้นทหารและผู้พิทักษ์ความสงบเรียบร้อย ถูกชี้นำโดยความกล้าหาญ (thumos) หน้าที่ของพวกเขาคือการปกป้องรัฐและบังคับใช้กฎหมายตามคำสั่งของชนชั้นผู้ปกครอง
ชนชั้นผู้ผลิต (Producers): ชนชั้นกสิกร ช่างฝีมือ และพ่อค้า ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของรัฐ ถูกชี้นำโดยความปรารถนาทางกายภาพ (epithumia) หน้าที่ของพวกเขาคือการผลิตปัจจัยยังชีพและสร้างความมั่งคั่งทางวัตถุให้กับรัฐ
ในอุตมรัฐของเพลโต "ความยุติธรรม" จะบังเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อแต่ละชนชั้นทำหน้าที่ตามธรรมชาติของตนเองอย่างสมบูรณ์ และไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของชนชั้นอื่น 7 นี่คือวิสัยทัศน์ของสังคมที่มีระเบียบแบบแผนอย่างสมบูรณ์ เป็นสังคมแบบลำดับชั้นที่วางอยู่บนพื้นฐานของความสามารถโดยกำเนิดและการศึกษาที่เข้มข้น ไม่ใช่ความยินยอมของมหาชน เป้าหมายสูงสุดของรัฐคือการสร้างความสามัคคีในสังคมและนำพาทุกคนไปสู่ชีวิตที่ดีงามและมีคุณธรรม 3

1.4 ธรรมชาติแห่งอำนาจของเพลโต: ความรู้ทางศีลธรรม ไม่ใช่ทักษะทางเทคนิค

ณ จุดนี้ การจำแนกความแตกต่างระหว่างแนวคิดของเพลโตกับเทคโนแครตสมัยใหม่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง คุณสมบัติที่ทำให้ราชาปราชญ์คู่ควรแก่การปกครองนั้นไม่ใช่ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในระดับอภิปรัชญาต่อ "แบบ" (Forms) ที่เป็นนามธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แบบแห่งความดี" (The Form of the Good) 4 ความรู้ของพวกเขาเป็นความรู้เชิงศีลธรรมโดยพื้นฐาน พวกเขาปกครองไม่ใช่เพราะเป็นนักบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ แต่เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าสิ่งใดคือ "ความดีที่แท้จริง" สำหรับรัฐและพลเมือง 8 ความรู้นี้ถูกบรรยายว่าเป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมสูงและอยู่ห่างไกลจากโลกแห่งความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน 9
อำนาจของราชาปราชญ์จึงมีรากฐานมาจากสิทธิอำนาจทางศีลธรรม (moral authority) อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม แบบจำลองนี้ก็เผชิญกับคำวิจารณ์ที่หนักหน่วงเช่นกัน ประการแรกคือความเป็นไปไม่ได้ที่คนเพียงคนเดียวจะสามารถหยั่งรู้ความต้องการของประชาชนทุกคนได้ 9 ประการที่สองคืออันตรายที่อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเช่นนี้อาจนำไปสู่ระบอบทรราชย์ได้ง่ายหากผู้ปกครองขาดคุณธรรม 10
ถึงกระนั้น มรดกที่สำคัญที่สุดที่เพลโตทิ้งไว้ให้กับประวัติศาสตร์ความคิดว่าด้วยการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญคือการสถาปนา "ทวิภาวะ" (dichotomy) ที่จะกลายเป็นแกนกลางของวิวาทะในยุคต่อๆ มา นั่นคือความตึงเครียดระหว่าง เอพิสเตเม (episteme) หรือความรู้ที่แท้จริงซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้ว กับ ด็อกซา (doxa) หรือความคิดเห็นและความเชื่อของสามัญชน เพลโตเป็นนักคิดคนแรกที่ให้เหตุผลอย่างเป็นระบบว่าความชอบธรรมทางการเมืองควรมาจาก เอพิสเตเม เพียงอย่างเดียว การกระทำเช่นนี้ได้วางรากฐานทางปรัชญาสำหรับการอ้างสิทธิ์ของ "ความจริงทางวิทยาศาสตร์" เหนือ "ความคิดเห็นทางการเมือง" ในอีกสองพันปีต่อมา คำถามที่ว่า "ใครคือต้นหนที่แท้จริง?" ยังคงดังก้องกังวานผ่านยุคสมัย แม้ว่านิยามของ "การเดินเรือ" จะเปลี่ยนจากปรัชญาศีลธรรมไปสู่การบริหารจัดการทางวิศวกรรมอุตสาหการก็ตาม

ส่วนที่ 2: การเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ - จากอภิปรัชญาสู่กลไกนิยม

เพื่อที่จะเข้าใจการก่อร่างของแนวคิดเทคโนแครตสมัยใหม่ จำเป็นต้องข้ามผ่านช่วงเวลาหลายศตวรรษมาสู่ยุคแห่งการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (Scientific Revolution) ในช่วงศตวรรษที่ 16-17 การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่ขบวนการทางการเมือง แต่เป็นการปฏิวัติทางญาณวิทยา (epistemological revolution) ที่ได้เปลี่ยนนิยามของ "ความรู้" ไปอย่างสิ้นเชิง มันได้แทนที่อุดมคติแบบเพลโตที่เน้นความจริงเชิงอภิปรัชญาที่เป็นนามธรรม ด้วยอุดมคติใหม่ที่ให้คุณค่ากับข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่สามารถพิสูจน์และวัดผลได้ในทางคณิตศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางความคิดครั้งนี้ได้สร้าง "ผู้เชี่ยวชาญ" ในความหมายสมัยใหม่ขึ้นมา และวางโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับแนวคิดเทคโนแครตที่ตั้งอยู่บนฐานของวิทยาศาสตร์แทนปรัชญา

2.1 การรื้อถอนโลกทัศน์เก่า: จากอำนาจนำสู่ประจักษ์นิยม

ก่อนยุคปฏิวัติวิทยาศาสตร์ โลกทัศน์ของชาวยุโรปถูกครอบงำโดยปรัชญาของอริสโตเติล (Aristotle) และเทววิทยาศาสนาคริสต์มาเป็นเวลานานเกือบ 2,000 ปี 12 "ความรู้" ในยุคนั้นมีลักษณะเป็นนิรนัย (deductive) เป็นหลัก โดยอ้างอิงจากอำนาจของคัมภีร์โบราณและหลักคำสอนทางศาสนา เป้าหมายของ "ปรัชญาธรรมชาติ" (natural philosophy) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกวิทยาศาสตร์ในยุคนั้น ไม่ใช่การ "ค้นพบ" ความจริงใหม่ แต่เป็นการ "อธิบาย" ความจริงที่เชื่อว่ามีอยู่แล้วและสมบูรณ์ในตัวเอง 14 การแสวงหาความรู้จึงเป็นการศึกษาและตีความจากตำรา มากกว่าการสังเกตและทดลองจากโลกธรรมชาติโดยตรง
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์นี้ไปอย่างสิ้นเชิง โดยเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญจากการพึ่งพาอำนาจนำของคนโบราณและเหตุผลแบบนิรนัย ไปสู่การเน้นย้ำ "การสังเกตเชิงประจักษ์ (empirical observation), การทดลอง (experimentation), และการพรรณนาด้วยคณิตศาสตร์ (mathematical description)" 13 บุคคลสำคัญอย่างนิโคลัส โคเปอร์นิคัส (Nicolaus Copernicus) และกาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei) ได้ท้าทายแบบจำลองจักรวาลที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง (geocentric model) ซึ่งเป็นที่ยอมรับมานานนับพันปี ไม่ใช่ด้วยการใช้ปรัชญาที่เหนือกว่า แต่ด้วยหลักฐานจากการสังเกตการณ์ผ่านกล้องโทรทรรศน์และการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ 12
วิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบใหม่นี้ตั้งอยู่บนหลักการที่สำคัญคือ ความสามารถในการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จได้ (falsifiability), ความสามารถในการหักล้างได้ (refutability), และความสามารถในการทดสอบได้ (testability) 12 คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ความรู้สามารถถูกตรวจสอบ แก้ไข และพัฒนาให้ก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง วิทยาศาสตร์ได้กลายเป็นสาขาวิชาที่เป็นอิสระ แยกตัวออกจากปรัชญาและเทววิทยาอย่างชัดเจน 15 และได้สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับสิ่งที่เรียกว่า "ความรู้ที่น่าเชื่อถือ"

2.2 กำเนิด "ผู้เชี่ยวชาญ" สมัยใหม่: นักวิทยาศาสตร์และวิศวกร

การเปลี่ยนแปลงทางญาณวิทยานี้ได้ให้กำเนิดผู้ทรงอำนาจทางปัญญากลุ่มใหม่ขึ้นมา นั่นคือ "ผู้เชี่ยวชาญ" สมัยใหม่ การอ้างสิทธิ์ในความรู้ของพวกเขาไม่ได้มาจากคุณธรรมทางศีลธรรมหรือการเปิดเผยจากพระเจ้า แต่มาจากความสามารถในการ "สาธิต, ทำนาย, และควบคุม" โลกธรรมชาติผ่านวิธีการที่เป็นกลางและเป็นวัตถุวิสัย 13 จักรวาลถูกจินตนาการขึ้นมาใหม่ในฐานะ "เครื่องจักร" ขนาดใหญ่ที่ทำงานภายใต้กฎสากลทางคณิตศาสตร์ที่ตายตัว (ดังที่ปรากฏในผลงานของไอแซก นิวตัน) แทนที่จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเป้าหมายและเจตจำนง 13 โลกทัศน์เชิงกลไกนิยม (mechanistic worldview) นี้ได้เปิดทางให้เกิดความคิดที่ว่า สังคมมนุษย์เองก็อาจจะสามารถถูกทำความเข้าใจและ "ออกแบบเชิงวิศวกรรม" (engineered) ได้เช่นเดียวกับเครื่องจักร
ยิ่งไปกว่านั้น การก่อตั้งสมาคมวิทยาศาสตร์ เช่น ราชสมาคมแห่งลอนดอน (Royal Society of London) ในปี 1662 ได้สร้างสถาบันที่เป็นทางการสำหรับการตรวจสอบและเผยแพร่ความรู้รูปแบบใหม่ที่ทรงพลังนี้ 15 สถาบันเหล่านี้ได้สร้าง "สาธารณรัฐแห่งวิทยาศาสตร์" (Republic of Science) ขึ้นมา ซึ่งเป็นชุมชนของผู้รู้ที่ความจริงถูกตัดสินโดยหลักฐานและการพิสูจน์ ไม่ใช่โดยตำแหน่งหรืออำนาจทางการเมือง 14 การทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์กลายเป็นเรื่องของสถาบันนี้เองที่มอบน้ำหนักทางสังคมและการเมืองให้กับมันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์จึงเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นและขาดไม่ได้สำหรับการเกิดขึ้นของแนวคิดเทคโนแครตสมัยใหม่ มันได้สร้างผู้เชี่ยวชาญรูปแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งมีอำนาจที่เกิดจากผลลัพธ์ที่จับต้องได้และเป็นประโยชน์ (utilitarian) เช่น การสร้างสะพาน การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร หรือการชนะสงคราม ที่สำคัญที่สุดคือ มันได้เปลี่ยน "เป้าหมาย" ของการปกครองโดยผู้ทรงความรู้ไปโดยสิ้นเชิง สำหรับเพลโต เป้าหมายคือเรื่องทางศีลธรรม—เพื่อจัดระเบียบรัฐให้สอดคล้องกับ "แบบแห่งความดี" อันสูงส่ง แต่หลังจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เป้าหมายได้กลายเป็นเรื่องทางประโยชน์นิยมและทางวัตถุ—เพื่อจัดระเบียบรัฐให้มี "ประสิทธิภาพสูงสุด, ผลิตภาพสูงสุด, และสามารถควบคุม" สภาพแวดล้อมทางกายภาพได้ดีที่สุด เหตุผลของการปกครองได้เปลี่ยนจากการบรรลุซึ่งคุณธรรม (virtue) ไปสู่การแก้ไขปัญหา (problem-solving) นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากโลกทัศน์ที่มุ่งหาเป้าหมายทางศีลธรรม (teleological) ไปสู่โลกทัศน์เชิงกลไก (mechanistic) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ทางปรัชญาที่ขับเคลื่อนแนวคิดเทคโนแครตสมัยใหม่ทั้งหมด

ส่วนที่ 3: ประกาศกแห่งยุคอุตสาหกรรม - วิสัยทัศน์สังคมวิทยาศาสตร์ของแซงต์-ซิมง

อองรี เดอ แซงต์-ซิมง (Henri de Saint-Simon) คือบุคคลสำคัญผู้เชื่อมโยงอำนาจใหม่ของวิทยาศาสตร์เข้ากับโครงการทางสังคม-การเมืองที่ชัดเจนเป็นครั้งแรก เขาปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของการปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติอุตสาหกรรม และได้เสนอวิสัยทัศน์ที่ปฏิวัติวงการ นั่นคือสังคมที่ไม่ได้ถูกบริหารโดยนักการเมืองหรือชนชั้นสูง แต่โดยพลังการผลิตของวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม แซงต์-ซิมงจึงเปรียบเสมือนประกาศกผู้พยากรณ์ถึงยุคสมัยที่การปกครองจะกลายเป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญทางเทคนิค

3.1 โลกที่กำลังเปลี่ยนผัน: บริบทหลังการปฏิวัติ

ชีวิตของแซงต์-ซิมง (1760-1825) อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวของการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ เขามีส่วนร่วมโดยตรงทั้งในการปฏิวัติอเมริกาและปฏิวัติฝรั่งเศส 16 ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เขาเห็นการล่มสลายของระเบียบสังคมเก่าแบบศักดินา (feudalism) และการผงาดขึ้นของสังคมอุตสาหกรรมใหม่ 16 จากการสังเกตการณ์นี้ แซงต์-ซิมงได้พัฒนาทฤษฎีทางสังคมที่ระบุถึงความขัดแย้งพื้นฐานระหว่าง "ชนชั้นผู้ว่างงาน" (idling class) ซึ่งประกอบด้วยชนชั้นสูงเก่า, นักบวช, และนักการเมืองที่เขาเห็นว่าไร้ประโยชน์ กับ "ชนชั้นอุตสาหกรรม" (industrial class) 19
สำหรับแซงต์-ซิมง "ชนชั้นอุตสาหกรรม" ไม่ได้หมายถึงแค่กรรมกรในโรงงาน แต่เป็นคำที่ครอบคลุมกว้างขวางถึงทุกคนที่มีส่วนร่วมในงานอันมีประสิทธิผล (productive work) ซึ่งรวมถึงนักวิทยาศาสตร์, นายธนาคาร, วิศวกร, เจ้าของโรงงาน, ไปจนถึงผู้ใช้แรงงาน 19 เขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่ากลุ่มคนที่สร้างความมั่งคั่งและความก้าวหน้าให้กับชาติ ควรจะเป็นผู้ที่บริหารปกครองชาติด้วยเช่นกัน 16 ความคิดนี้เป็นการท้าทายโครงสร้างอำนาจแบบดั้งเดิมที่มอบสิทธิ์ในการปกครองให้กับผู้มีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่กลับกีดกันกลุ่มคนที่มีความสามารถในการผลิตออกจากอำนาจทางการเมือง 18

3.2 จากการปกครองสู่การบริหาร: พิมพ์เขียวแห่งเทคโนแครต

ข้อเสนอที่สำคัญและปฏิวัติวงการที่สุดของแซงต์-ซิมงคือแนวคิดเรื่องการแทนที่ "การปกครองมนุษย์" (government of men) ด้วย "การบริหารจัดการสรรพสิ่ง" (administration of things) 17 ในมุมมองของเขา การเมืองแบบดั้งเดิมที่เต็มไปด้วยการถกเถียง การต่อสู้แย่งชิงอำนาจ และอุดมการณ์ต่างๆ นั้นเป็นกิจกรรมที่ล้าสมัยและเป็นกาฝากของสังคม ในยุคอุตสาหกรรมใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมไม่ควรถูก "ปกครอง" แต่ควรถูก "บริหารจัดการ" อย่างมีประสิทธิภาพ
เขาได้ร่างพิมพ์เขียวสำหรับระเบียบสังคมใหม่ที่จะถูกนำโดยสภาของนักวิทยาศาสตร์และนักอุตสาหกรรม 18 โดยมีโครงสร้างดังนี้:
อำนาจทางจิตวิญญาณ/ภูมิปัญญา: จะอยู่ในมือของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่แทนที่คริสตจักรในยุคกลางในการชี้นำทิศทางทางปัญญาและศีลธรรมของสังคม 18
อำนาจทางโลก/การปฏิบัติ: จะอยู่ในมือของผู้นำทางธุรกิจและอุตสาหกรรม ผู้ซึ่งมีความสามารถในการจัดองค์กรการผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด 18
เป้าหมายของระบบนี้ไม่ใช่การโต้วาทีทางการเมือง แต่คือ "การจัดระเบียบสังคมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงสุด" และเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต 18 รัฐบาลจะเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ใช้อำนาจมาเป็นการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ นี่คือการสังเคราะห์โดยตรงระหว่างญาณวิทยาใหม่ที่เกิดจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (ความเชื่อมั่นในวิธีการทางวิทยาศาสตร์) และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม (การผงาดขึ้นของชนชั้นอุตสาหกรรม) ผลลัพธ์ที่ได้คือพิมพ์เขียวฉบับแรกของรัฐเทคโนแครตสมัยใหม่

3.3 "ศาสนาคริสต์ใหม่": มิติทางศีลธรรมและอุดมคติ

แม้จะเน้นย้ำเรื่องประสิทธิภาพและวิทยาศาสตร์ แต่แซงต์-ซิมงไม่ใช่นักวัตถุนิยมที่เย็นชา วิสัยทัศน์ของเขาเปี่ยมไปด้วยศีลธรรมแบบสังคมนิยมในอุดมคติ (utopian socialism) ในผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา Nouveau Christianisme (ศาสนาคริสต์ใหม่) ที่ตีพิมพ์ในปี 1825 เขาได้ประกาศถึง "ภราดรภาพของมวลมนุษย์" ซึ่งจะต้องดำเนินควบคู่ไปกับการจัดระเบียบอุตสาหกรรมและสังคมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ 18
ศีลธรรมใหม่นี้จะมุ่งเน้นไปที่การยกระดับความเป็นอยู่และสวัสดิภาพของ "ชนชั้นที่ยากจนและมีจำนวนมากที่สุด" 16 เขาไม่ได้มองว่าประสิทธิภาพเป็นเป้าหมายในตัวเอง แต่มองว่าเป็นเครื่องมือในการบรรลุซึ่งความยุติธรรมทางสังคม ด้วยเหตุนี้ ความคิดของเขาจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดสังคมนิยมและมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อนักคิดรุ่นหลัง เช่น ออกุสต์ กองต์ (Auguste Comte) และคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) 18 แซงต์-ซิมงได้สังเคราะห์ประสิทธิภาพของยุคอุตสาหกรรมใหม่เข้ากับความจำเป็นทางศีลธรรมในการสร้างสังคมที่เท่าเทียม
การก้าวกระโดดทางความคิดที่สำคัญที่สุดของแซงต์-ซิมง คือการนิยาม "การเมือง" ใหม่ให้กลายเป็น "ปัญหาวิศวกรรม" การเสนอแนวคิด "การบริหารจัดการสรรพสิ่ง" ของเขาเป็นการบ่งชี้ว่าความขัดแย้งทางสังคมไม่ใช่การปะทะกันของค่านิยมหรือผลประโยชน์ที่ต้องไกล่เกลี่ยผ่านกระบวนการทางการเมือง แต่เป็น "ความไร้ประสิทธิภาพทางเทคนิค" ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ นี่คือสมมติฐานหลักของแนวคิดเทคโนแครตทั้งหมดในยุคต่อมา ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วเป็นแนวคิดที่ "ต่อต้านการเมือง" (anti-political) ในความหมายดั้งเดิม เพราะมันพยายามที่จะแทนที่การไตร่ตรอง การประนีประนอม และความขัดแย้ง ด้วยการคำนวณและความแน่นอนทางวิทยาศาสตร์

ส่วนที่ 4: การทดลองในอเมริกา - ขบวนการเทคโนแครตในทศวรรษ 1930

จากทฤษฎีในยุโรป แนวคิดเทคโนแครตได้ก่อตัวเป็นขบวนการทางสังคมที่เป็นรูปธรรมและประกาศตัวเองอย่างชัดเจนในสหรัฐอเมริกาช่วงทศวรรษ 1930 ขบวนการนี้ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ (The Great Depression) และเป็นตัวแทนของการนำอุดมการณ์เทคโนแครตมาปรับใช้ในรูปแบบที่ตรงไปตรงมาและสมบูรณ์ที่สุด แม้ท้ายที่สุดจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ได้ทิ้งมรดกทางความคิดและบทเรียนที่สำคัญไว้

4.1 วิกฤตในฐานะตัวเร่ง: ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และความล้มเหลวของ "ระบบราคา"

ขบวนการเทคโนแครตได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในช่วงต้นทศวรรษ 1930 ด้วยเหตุผลสำคัญคือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้เผยให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่มีอยู่ 22 ปรากฏการณ์ "ความยากจนท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์" (poverty amidst plenty)—ที่โรงงานต้องปิดตัวลงในขณะที่ผู้คนอดอยาก—กลายเป็นหลักฐานชิ้นเอกที่ขบวนการนี้นำมาใช้โจมตีระบบที่เป็นอยู่
ขบวนการนี้นำโดยวิศวกรนามว่า โฮเวิร์ด สกอตต์ (Howard Scott) ซึ่งได้รื้อฟื้นและเผยแพร่แนวคิด "เทคโนแครต" คำนี้ถูกบัญญัติขึ้นครั้งแรกโดย วิลเลียม เฮนรี สมิธ (William Henry Smyth) ในปี 1919 23 แต่กลุ่มของสกอตต์ ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ทำให้คำนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะทางออกสำหรับวิกฤตเศรษฐกิจ 22 ข้อโต้แย้งหลักของพวกเขาคือ "ระบบราคา" (Price System) หรือระบบทุนนิยมที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาดนั้น มีโครงสร้างที่ไม่สามารถบริหารจัดการความอุดมสมบูรณ์ที่เกิดจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 22 พวกเขามองว่าระบบราคาเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผลและจำเป็นต้องถูกแทนที่ด้วยระบบที่ตั้งอยู่บนหลักการทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม

4.2 เดอะเทคโนแครต: พิมพ์เขียวสำหรับทวีปวิทยาศาสตร์

ขบวนการเทคโนแครตไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิพากษ์วิจารณ์ แต่ได้เสนอพิมพ์เขียวที่ชัดเจนและถึงรากถึงโคนสำหรับการจัดระเบียบสังคมใหม่ทั้งหมด โดยมีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมดังนี้:
การปกครองโดยเทคโนแครต: ข้อเสนอหลักคือการแทนที่นักการเมืองและนักธุรกิจด้วยวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ซึ่งจะเข้ามาบริหารกลไกทางสังคมทั้งหมดเสมือนเป็นปัญหาทางวิศวกรรมขนาดใหญ่ 22 การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเชิงประจักษ์และหลักการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่อุดมการณ์ทางการเมืองหรือผลประโยชน์ทางธุรกิจ
"เทคโนแครต" แห่งอเมริกาเหนือ: พวกเขาเสนอให้รวมสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เม็กซิโก, และบางส่วนของอเมริกากลางเข้าเป็นหน่วยการปกครองภาคพื้นทวีปหน่วยเดียวที่เรียกว่า "The Technate" 24 หน่วยนี้จะพึ่งพาตนเองได้อย่างสมบูรณ์และบริหารจัดการตามหลักการเทคโนแครต โดยขจัดพรมแดนทางการเมืองที่พวกเขาเห็นว่าไร้ประสิทธิภาพ
ใบรับรองพลังงาน (Energy Certificates): ข้อเสนอที่ปฏิวัติวงการที่สุดคือการยกเลิกระบบเงินตราและระบบราคาทั้งหมด 22 มูลค่าของสินค้าและบริการจะไม่ได้ถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน แต่จะถูกคำนวณจาก "ปริมาณพลังงาน" ที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้นๆ 23 พลเมืองแต่ละคนจะได้รับ "ใบรับรองพลังงาน" ซึ่งไม่สามารถโอนให้กันได้ เพื่อใช้ในการรับส่วนแบ่งผลผลิตของทวีป ใบรับรองนี้จะมีวันหมดอายุเพื่อป้องกันการสะสมความมั่งคั่ง หนี้สิน และความเหลื่อมล้ำ 22
วิศวกรรมสังคมเชิงวิทยาศาสตร์: ระบบทั้งหมดถูกออกแบบมาให้เป็น "ศาสตร์แห่งวิศวกรรมสังคม" (science of social engineering) 22 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สูงสุดและกำจัดความสูญเปล่าให้หมดไป 23 ผ่านระบบอัตโนมัติและการวางแผนจากส่วนกลาง เพื่อรับประกันมาตรฐานการครองชีพที่สูงสำหรับพลเมืองทุกคน
นี่คือการนำแนวคิด "การบริหารจัดการสรรพสิ่ง" ของแซงต์-ซิมงมาทำให้เป็นรูปธรรมและลงรายละเอียดในระดับปฏิบัติการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ขบวนการนี้คือจุดสูงสุดเชิงตรรกะของแนวคิดเทคโนแครตที่พยายามจะเปลี่ยนสังคมให้กลายเป็นเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพอย่างสมบูรณ์

4.3 การรุ่งโรจน์และล่มสลายของขบวนการ

ในช่วงเวลาสั้นๆ ขบวนการเทคโนแครตได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีสมาชิกหลายแสนคน 27 และกลายเป็นหัวข้อถกเถียงที่ร้อนแรงในสังคมอเมริกัน มันสามารถดึงดูดจินตนาการของผู้คนที่สิ้นหวังกับวิกฤตเศรษฐกิจด้วยคำมั่นสัญญาถึงทางออกที่เป็นเหตุเป็นผลและเป็นวิทยาศาสตร์ 25
อย่างไรก็ตาม การล่มสลายของขบวนการก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยมีสาเหตุหลายประการ:
ความไร้เดียงสาทางการเมือง: ขบวนการประกาศตัวว่าจะ "ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง" (abstaining from all partisan politics) 22 ซึ่งทำให้พวกเขาขาดแผนการที่เป็นรูปธรรมในการเข้าสู่อำนาจเพื่อนำนโยบายของตนมาปฏิบัติจริง 25
ปัญหาความน่าเชื่อถือของผู้นำ: ความน่าเชื่อถือของโฮเวิร์ด สกอตต์ ผู้นำขบวนการ สั่นคลอนอย่างรุนแรงเมื่อมีการเปิดโปงว่าเขาได้บิดเบือนประวัติและวุฒิการศึกษาทางวิศวกรรมของตนเอง 25 นอกจากนี้ ขบวนการยังแตกออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ที่ขัดแย้งกันเอง 22
ความกลัวระบอบอำนาจนิยม: นักวิจารณ์จำนวนมากแสดงความกังวลว่าการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจะนำไปสู่ระบอบเผด็จการรูปแบบใหม่ที่ปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลจากประชาชน 24 นอกจากนี้ แนวคิดบางส่วนของขบวนการยังมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับฟาสซิสต์และสุพันธุศาสตร์ (eugenics) ซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากตีตัวออกห่าง 27
การผงาดขึ้นของนโยบาย New Deal: การเกิดขึ้นของนโยบาย New Deal ภายใต้การนำของประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ได้เสนอทางออกจากวิกฤตเศรษฐกิจที่รุนแรงน้อยกว่า แต่ยังคงอาศัยความเชี่ยวชาญของคณะที่ปรึกษา (Brain Trust) และดำเนินการภายใต้กรอบของระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่ 22 นโยบาย New Deal สามารถตอบสนองความต้องการการเปลี่ยนแปลงของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ข้อเสนอที่ถึงรากถึงโคนของขบวนการเทคโนแครตดูสุดโต่งและไม่จำเป็นอีกต่อไป
ความล้มเหลวของขบวนการเทคโนแครตได้เผยให้เห็นถึง "ปฏิทรรศน์แห่งเทคโนแครต" (The Technocratic Paradox) นั่นคือ เพื่อที่จะสถาปนารัฐที่ "ไร้การเมือง" และบริหารจัดการด้วยหลักวิทยาศาสตร์ พวกเขาจำเป็นต้องอาศัย "การกระทำทางการเมือง" อย่างมหาศาลในระดับปฏิวัติเพื่อโค่นล้มระบบเก่าเสียก่อน การยืนกรานที่จะอยู่ "เหนือการเมือง" ของขบวนการจึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุด พวกเขาต้องการจะออกแบบสังคมใหม่โดยไม่ยอมเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการทางการเมืองอันยุ่งเหยิงของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความยินยอมและสั่งสมอำนาจเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงนั้น ปฏิทรรศน์นี้ยังคงเป็นปัญหาที่ท้าทายแรงขับเคลื่อนแบบเทคโนแครตในยุคปัจจุบัน ที่มักจะนำเสนอทางออกทางเทคนิคโดยประเมินความท้าทายทางการเมืองและสังคมของการนำไปปฏิบัติให้เกิดผลจริงต่ำเกินไป

ส่วนที่ 5: บทสรุป - มรดกที่ยังคงอยู่และเสียงสะท้อนในยุคสมัยใหม่

การเดินทางของแนวคิดเทคโนแครตตั้งแต่รากฐานทางปรัชญาในยุคกรีกโบราณจนถึงการก่อตัวเป็นขบวนการทางสังคมในศตวรรษที่ 20 เผยให้เห็นถึงวิวัฒนาการที่น่าทึ่งของการแสวงหา "การปกครองโดยผู้ทรงความรู้" แม้ว่าขบวนการเทคโนแครตในรูปแบบดั้งเดิมจะเสื่อมสลายไปแล้ว แต่ "แรงขับเคลื่อนแบบเทคโนแครต" (technocratic impulse) กลับยังคงทรงพลังและปรากฏให้เห็นในหลากหลายรูปแบบในสังคมศตวรรษที่ 21

5.1 การสังเคราะห์วิวัฒนาการของแนวคิด

เส้นทางอันยาวไกลของแนวคิดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงนิยามของ "ผู้เชี่ยวชาญ" ผู้คู่ควรแก่การปกครอง ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงแหล่งที่มาของอำนาจทางปัญญาในอารยธรรมตะวันตก จากอภิปรัชญาสู่เทคนิควิทยา และจากปรัชญาศีลธรรมสู่เหตุผลเชิงเครื่องมือ (instrumental reason) วิวัฒนาการนี้สามารถสรุปและเปรียบเทียบได้ดังตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 1: การวิเคราะห์เปรียบเทียบอุดมการณ์เทคโนแครต
คุณลักษณะ
ราชาปราชญ์ของเพลโต
สภาอุตสาหกรรมของแซงต์-ซิมง
เดอะเทคโนแครต ทศวรรษ 1930
ฐานอำนาจ
ความรู้ทางศีลธรรมและอภิปรัชญา (แบบแห่งความดี)
ความสามารถในการผลิตและความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและวิศวกรรม
เป้าหมายหลัก
ความยุติธรรม ความสามัคคี และความดีงามทางศีลธรรมของรัฐ
การเพิ่มผลผลิตทางอุตสาหกรรมและสวัสดิภาพสังคมให้สูงสุด
การเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด การกำจัดความสูญเปล่า และการกระจายความอุดมสมบูรณ์
ธรรมชาติของ 'ความรู้'
ความจริงที่เป็นนามธรรม ไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นสากล (episteme)
หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ประยุกต์ใช้กับการจัดระเบียบสังคม
ข้อมูลเชิงประจักษ์ มาตรวัดพลังงาน หลักการทางวิศวกรรม
มุมมองต่อมหาชน
ผู้ขาดความรู้ ถูกขับเคลื่อนด้วยความปรารถนา (doxa) และต้องการการชี้นำ
แหล่งแรงงานในการผลิต ซึ่งต้องถูกนำทางเพื่อประโยชน์ของตนเอง
ผู้บริโภคภายในระบบที่มีการจัดการ ซึ่งต้องได้รับการจัดสรรปัจจัยยังชีพ
ระบบเศรษฐกิจ
ระบบคอมมูนสำหรับชนชั้นผู้พิทักษ์; ทรัพย์สินส่วนตัวสำหรับชนชั้นผู้ผลิต
เศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่มีการวางแผนและ "บริหารจัดการ" (สังคมนิยมยุคแรก)
ระบบที่ไม่ใช้กลไกตลาด โดยอิงกับ "ใบรับรองพลังงาน"
บทวิพากษ์ต่อสภาพที่เป็นอยู่
ประชาธิปไตยคือการปกครองของมวลชนที่วุ่นวายและถูกชักจูงโดยนักปลุกระดม
ระบบศักดินาและการเมืองเป็นกาฝากและไร้ซึ่งผลิตภาพ
"ระบบราคา" (ทุนนิยม) นั้นสิ้นเปลืองและไร้เหตุผล

ตารางนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความต่อเนื่องของแนวคิดหลัก—ความไม่ไว้วางใจในการปกครองโดยมหาชนและความเชื่อมั่นในความจำเป็นของการปกครองโดยผู้เชี่ยวชาญ—ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตัวตนของผู้เชี่ยวชาญและประเภทของความรู้ที่พวกเขานำมาใช้เป็นฐานแห่งอำนาจ

5.2 แรงขับเคลื่อนแบบเทคโนแครตในศตวรรษที่ 21

แม้ขบวนการเทคโนแครตอย่างเป็นทางการจะไม่มีอยู่อีกต่อไป แต่จิตวิญญาณของมันกลับแทรกซึมอยู่ในโครงสร้างอำนาจและกระแสความคิดของโลกสมัยใหม่ แรงขับเคลื่อนนี้ปรากฏให้เห็นในปรากฏการณ์ต่างๆ ดังนี้:
ชนชั้นนำแห่งเทคโนโลยี (The Tech Elite): ความเชื่อมั่นที่แพร่หลายในซิลิคอนแวลลีย์ว่าเทคโนโลยีคือพลังขับเคลื่อนการปฏิวัติที่แท้จริง และปัญหาสังคมที่ซับซ้อนสามารถ "แก้ไข" ได้ด้วยวิศวกรรมและข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยมักมองว่ากระบวนการทางประชาธิปไตยนั้นไร้ประสิทธิภาพและเป็นอุปสรรค 27 ความเชื่อมโยงทางสายเลือดของบุคคลอย่างอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ซึ่งมีคุณตาเป็นบุคคลสำคัญในขบวนการเทคโนแครตของแคนาดา ยิ่งตอกย้ำถึงการสืบทอดทางความคิดนี้ 24
ธรรมาภิบาลโลก (Global Governance): บทบาทที่เพิ่มขึ้นของผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารกลาง, กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF), และองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งทำการตัดสินใจเชิงนโยบายที่สำคัญโดยอาศัยแบบจำลองทางเศรษฐกิจและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ การตัดสินใจเหล่านี้มักอยู่นอกเหนือการควบคุมโดยตรงของระบอบประชาธิปไตยในระดับชาติ
การเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Politics): การพึ่งพาข้อมูลขนาดใหญ่, อัลกอริทึม, และ "วิศวกรรมสังคม" มากขึ้นเรื่อยๆ ในการบริหารจัดการประชากรและกำหนดนโยบายสาธารณะ ซึ่งสะท้อนเป้าหมายหลักของเทคโนแครตในการวัดปริมาณและปรับปรุงความสัมพันธ์ทางสังคมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 27
ท้ายที่สุด ประวัติศาสตร์ของแนวคิดเทคโนแครตได้ทิ้งคำถามสำคัญที่ยังคงไม่มีคำตอบที่สมบูรณ์ไว้ให้แก่ยุคสมัยของเรา นั่นคือ สังคมสมัยใหม่จะสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของความรู้ความเชี่ยวชาญ โดยไม่สูญเสียความชอบธรรมทางประชาธิปไตยและคุณค่าทางศีลธรรมที่โลกทัศน์ทางเทคนิคล้วนๆ อาจมองข้ามไปได้อย่างไร ความตึงเครียดระหว่าง เอพิสเตเม ของเพลโต (ความรู้ของผู้เชี่ยวชาญ) กับ ด็อกซา (ความคิดเห็นของพลเมือง) ยังคงเป็นความท้าทายใจกลางที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขของการปกครองสมัยใหม่
ผลงานที่อ้างอิง
BRIA 19 4 c Plato and The Republic - Online Lessons - Bill of Rights ..., เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://teachdemocracy.org/bill-of-rights-in-action/bria-19-4-c-plato-and-the-republic
How Did Socrates View Democracy? - TheCollector, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.thecollector.com/how-did-socrates-view-democracy/
เปรียบเทียบแนวคิดเรื่องธัมมิกราชาและราชาปราชญ์, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://doi.nrct.go.th/admin/doc/doc_545581.pdf
Was Plato really Against Democracy? : r/askphilosophy - Reddit, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.reddit.com/r/askphilosophy/comments/16op3dy/was_plato_really_against_democracy/
Socrates, the first critic of Democracy: "Foolish leaders of Democracy, which is a charming form of government, full of variety and disorder, and dispensing a sort of equality to equals and unequaled alike." He believed that not everyone has right to vote. He saw voting as a skill acquired by wisdom : r/ - Reddit, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.reddit.com/r/philosophy/comments/mmvu8m/socrates_the_first_critic_of_democracy_foolish/
The State is Like a Ship: on Plato's Critique of the Athenian ..., เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://adastrapermundum.com/2019/04/21/the-state-is-like-a-ship-on-platos-critique-of-the-athenian-democracy/
อุดมรัฐของเพลโต สู่สังคมในอุดมคติ - ThaiJo, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://so08.tci-thaijo.org/index.php/AJPP/article/download/4419/3361/35387
เอกสารประกอบวิชาปรัชญาการเมืองตะวันตก - มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.mcu.ac.th/article/detail/14242
อุตมรัฐ – ปรัชญาภาษา, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://philoflanguage.wordpress.com/tag/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90/
อำนาจในมุมมองของนักปราชญ์ (2) : เพลโต-อำนาจควรอยู่ในมือนักปราชญ์ แต่ระวังการเป็นทรราช / Phichai Ratnatilaka Na Bhuket - ผู้จัดการออนไลน์, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://mgronline.com/daily/detail/9660000087993
ศึกษาแนวคิดปรัชญาทางการเมืองของเพลโต01* A Study of The C - thaijo.org, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://so05.tci-thaijo.org/index.php/SASAJ/article/download/241966/171136
Philosophy in Scientific Revolution – Science, Technology, and Society, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://web.colby.edu/st112a-fall20/2020/09/12/philosophy-in-scientific-revolution/
The Evolution of Knowledge and Science and Evolution - planksip, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.planksip.org/the-evolution-of-knowledge-and-science-and-evolution-1760266524842/
Chapter 4: The Scientific Revolution – Europe Since 1600: A Concise History, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://colorado.pressbooks.pub/europesince1600concise/chapter/chapter-4-the-scientific-revolution/
Scientific Revolution | Definition, History, Scientists, Inventions, & Facts | Britannica, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.britannica.com/science/Scientific-Revolution
Henri de Saint-Simon | Research Starters - EBSCO, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.ebsco.com/research-starters/history/henri-de-saint-simon
THE POLITICAL THOUGHT OF SAINT-SIMON, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://ia902900.us.archive.org/13/items/in.ernet.dli.2015.130352/2015.130352.The-Political-Thought-Of-Saint-Simon.pdf
Henri de Saint-Simon | French Social Reformer & Philosopher ..., เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.britannica.com/biography/Henri-de-Saint-Simon
Henri de Saint-Simon - Wikipedia, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://en.wikipedia.org/wiki/Henri_de_Saint-Simon
Saint-Simon's utopian vision - (AP European History) - Vocab, Definition, Explanations, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://fiveable.me/key-terms/ap-euro/saint-simons-utopian-vision
Saint-Simon's Political History of Industry - UT liberal arts, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 http://la.utexas.edu/users/hcleaver/368/368simonhistindus.html
Technocracy movement - Wikipedia, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://en.wikipedia.org/wiki/Technocracy_movement
Technocracy Movement | Encyclopedia.com, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.encyclopedia.com/history/dictionaries-thesauruses-pictures-and-press-releases/technocracy-movement
A 1930s movement wanted to merge the US, Canada and Greenland. Here's why it has modern resonances | University of Portsmouth, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.port.ac.uk/news-events-and-blogs/blogs/academic-expertise/a-1930s-movement-wanted-to-merge-the-us-canada-and-greenland-heres-why-it-has-modern-resonances
Full article: A non-conforming technocratic dream: Howard Scott's technocracy movement, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/17449359.2024.2343657
Technocracy | Modern Movement, Social Engineering & Scientific Management | Britannica, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.britannica.com/topic/technocracy
A look into the forgotten Technocracy movement of the 1930s and how it predicted Silicon Valley's worldview : r/Futurology - Reddit, เข้าถึงเมื่อ ตุลาคม 17, 2025 https://www.reddit.com/r/Futurology/comments/1n5n5ha/welcome_to_the_technocracy_a_look_into_the/


วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Epstein List (รายชื่อเอปสตีน) คืออะไร รายชื่ออะไร

 Epstein List (รายชื่อเอปสตีน) คืออะไร  รายชื่ออะไร 
จากที่มีบทความหนึ่งของ poipoi ได้กล่าวถึง Epstein List  

https://www.youtube.com/watch?v=w4FSJg7Qaag 



https://thebeaconmast.com/5225/news/the-release-of-the-epstein-list/




จุดเริ่มต้น จากคดีอื้อฉาวของเจฟฟรีย์ เอปสตีน (Jeffrey Epstein) นับเป็นหนึ่งในคดีการล่วงละเมิดและการค้ามนุษย์ทางเพศที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ซึ่งเผยให้เห็นถึงการใช้อำนาจจากความมั่งคั่งและเครือข่ายความสัมพันธ์ที่กว้างขวางกับนักการเมือง คนดัง คนรวย ในการก่ออาชญากรรม มานานหลายทศวรรษ

Epstein List (รายชื่อเอปสตีน) ในความเข้าใจของประชาชน กับทางการ จะไม่เหมือนกัน ผมเลยแยก ออกมาให้ดูง่ายๆ

Epstein List (รายชื่อเอปสตีน) ในมุมมองของรัฐบาล คือ ไม่มีอยู่จริง เพราะมันคือ ทฤษฎีสมคบคิด 

Epstein List (รายชื่อเอปสตีน) ในมุมมองผลวิจัยของ Gemini pro คือเอกสาร การรวบรวมชื่อบุคคลกว่า 170 คน ที่ปรากฏในเอกสารของศาล ซึ่งถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในเดือนมกราคม 2024 

Epstein List (รายชื่อเอปสตีน) ในความเข้าใจของประชาชน+เหยื่อ (ที่รัฐบาลบอกว่า คือ ทฤษฎีสมคบคิด  คือ บันทึก คนที่มาใช้บริการ รวมถึงคนที่สามารถ แบล็คเมล์ได้ หรือ ผู้ติดต่อตั้งแต่สั่งซื้อของทั่วไป ยันยาเสพติด และของต่างๆ เป็นต้น 

ตามคำบอกเล่าของ นักข่าวสืบสวน จูลี เค. บราวน์ (Julie K. Brown)  นักข่าวสืบสวนคนสำคัญในคดีนี้ได้อธิบาย   "สมุดปกดำ" (Little Black Book) ของเอปสตีนว่าเป็นเหมือนสมุดโทรศัพท์ขนาดใหญ่ที่รวบรวมรายชื่อทุกคนที่เขาเคยติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นคนดัง, นักการเมือง, นักธุรกิจ ไปจนถึงคนสวนหรือช่างซ่อมบำรุง 

 คดีนี้มีมานานหลายสิบปีแล้ว 1990-2005 แต่คดียังไม่สามารถคืนความยุติธรรมได้ เพราะ เอปสตีน บังเอิญเสียชีวิต ประกอบกับ FBI ไม่สามารถหาหลักฐานได้สาวถึงตัวลูกค้า ผู้เกี่ยวข้องอีกมากมาย  แม้มีเหยื่อมาฟ้องร้อง แม้กระทั่ง  ภาพจากกล้องวงจรปิด บริเวณห้องขังของเอปสตีนในคืนที่เขาเสียชีวิต บังเอิญหายไป หรือถูกลบไป  และ แน่นอน ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้บอกว่า เจ้าหน้าที่ตั้งใจลบเอง แน่นๆละ  
รวมถึงข้อกล่าวอ้างที่ว่ามีหลักฐานมากมาย แต่ ทางการได้ปกปิดไว้ ไม่ว่าจะ วีดีโอ ภาพถ่าย เอกสารทางการเงิน ภาพการทรมาณ บุคคล แม้เด็กหญิง   ฯลฯ ภาพที่หลุดรอดออกมาสู่โลกภายนอก ก็อยู่ได้ไม่นาน เยื่อ+ประชาชน+ ทฤษฎีสมคบคิด  เชื่อว่า มีการตามลบออกจากอินเตอร์เน็ตอย่างเป็นระบบ  โดยผม(poipoi) จะไม่บอกว่าเพราะสาเหตุอะไร และเพราะอะไรยังไง
สุดท้ายแล้ว  มันถูกรัฐบาลสหรัฐตีตราว่าเป็น  ทฤษฎีสมคบคิด ดังนั้น จบเรื่องนี้ไว้ 
ผู้อ่านสามารถสือค้นต่อเองได้ โดย ผมแบ่งเป็น สามแนวทาง  แต่ถ้า คิดว่าเป็น ทฤษฎีสมคบคิด ก็ไม่ต้องค้นครับ

ผมจะมาเล่าต่อถึงคลิปที่ผมเจอ และทำเป็นปก


จากคลิปวีดีโอ ถอดความเป็นไทย โดย Genini Pro ได้ว่า

วิดีโอ "El Terrorífico Descubrimiento Del FBI En La Isla De Epstein Lo Cambia Todo" (การค้นพบอันน่าสะพรึงกลัวของ FBI บนเกาะของ Epstein เปลี่ยนทุกสิ่ง) [00:00] อธิบายถึงการสอบสวนของ FBI และการค้นพบที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายค้ามนุษย์ของ Jeffrey Epstein

สรุปประเด็นสำคัญ:

  • การบุกค้นเกาะ Little St. James [00:52]: FBI ได้บุกค้นเกาะส่วนตัวของ Epstein ที่ชื่อ Little St. James ซึ่งรู้จักกันในชื่อ "เกาะแห่งความชั่วร้าย" และพบหลักฐานมากมายที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของเขา

  • การค้นพบที่น่าตกใจ [05:37]: เจ้าหน้าที่พบห้องที่เต็มไปด้วยรูปถ่ายของหญิงสาว ซึ่งบางคนเป็นเด็ก และอาคารใต้ดินที่ซับซ้อนซึ่งออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการกระทำที่ผิดกฎหมาย

  • การเสียชีวิตของ Epstein และผลสืบเนื่อง [03:29]: Epstein ถูกพบว่าหมดสติในห้องขังของเขา และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามและการคาดเดาเกี่ยวกับการเสียชีวิตของเขา แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่การสอบสวนก็ยังคงดำเนินต่อไปเพื่อนำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

  • กลยุทธ์การล่อลวง [10:06]: วิดีโออธิบายถึงกลยุทธ์อันชั่วร้ายที่ Epstein ใช้ในการล่อลวงเหยื่อสาว ซึ่งมักจะผ่านทาง Ghislaine Maxwell โดยชักชวนให้พวกเธอมานวด หรือทำงานในบ้านของเขา และกระตุ้นให้พวกเธอพาเพื่อนมาด้วยเพื่อขยายเครือข่าย

  • บุคคลผู้มีอิทธิพล [14:28]: เอกสารที่ถูกเปิดเผยได้เชื่อมโยงบุคคลผู้มีอิทธิพลหลายคนเข้ากับวงจรของ Epstein รวมถึงเจ้าชายแอนดรูว์แห่งสหราชอาณาจักร, อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดอนัลด์ ทรัมป์ และบิล คลินตัน รวมถึงคนดังหลายคน แม้ว่าจะไม่มีการกล่าวหาว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายของ Epstein โดยตรง แต่การปรากฏตัวของพวกเขาในบันทึกก็ทำให้เกิดคำถามถึงความสัมพันธ์ของพวกเขากับ Epstein

  • ความยุติธรรมสำหรับเหยื่อ [18:49]: แม้ Epstein จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เหยื่ออย่าง Virginia Roberts Giuffre ก็ยังคงต่อสู้เพื่อความยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง การดำเนินคดีกับ Ghislaine Maxwell ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาค้ามนุษย์ทางเพศ และถูกตัดสินจำคุก 20 ปี [20:12] ถือเป็นชัยชนะที่สำคัญสำหรับเหยื่อ ( ได้คนติดคุก 1 คน)


สรุปคดีนี้มีคนเกี่ยวของและเหยื่อเยอะมากๆ แต่เดาสิว่ามีคนติดคุก และถูกตั้งข้อหากี่คน??

คำตอบโดน gemini pro  

จากข้อมูลทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน หากนับเฉพาะผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกศาลสั่งลงโทษจำคุกในคดีเครือข่ายค้ามนุษย์ทางเพศของเจฟฟรีย์ เอปสตีน จะมี 1 คน  

กีเลน แม็กซ์เวลล์ (Ghislaine Maxwell): อดีตคนรักและผู้สมรู้ร่วมคิดคนสำคัญที่สุดของเอปสตีน เธอถูกตัดสินว่ามีความผิดในปี 2021 ในข้อหาค้ามนุษย์ทางเพศเด็กและข้อหาอื่นๆ และในปี 2022 ถูกศาลสั่งลงโทษ จำคุก 20 ปี ปัจจุบันเธอยังคงรับโทษอยู่ในเรือนจำ

อย่างไรก็ตาม หากนับรวมบุคคลที่เคยติดคุกในคดีนี้ จะมีอีก 2 คนที่สำคัญ แต่สถานะแตกต่างกันไป:

เจฟฟรีย์ เอปสตีน (Jeffrey Epstein):

ครั้งที่ 1 (ปี 2008): ติดคุกเป็นเวลา 13 เดือน จากข้อตกลงยอมความที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีเด็กในระดับรัฐฟลอริดา

ครั้งที่ 2 (ปี 2019): ถูกจับกุมในข้อหาค้ามนุษย์ทางเพศระดับสหพันธรัฐ และถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาคดี แต่เขาได้เสียชีวิตในเรือนจำก่อนที่จะมีการตัดสินคดี

ฌอง-ลุค บรูเนล (Jean-Luc Brunel): นายหน้าจัดหานางแบบชาวฝรั่งเศสและผู้ใกล้ชิดเอปสตีน เขาถูกจับกุมและคุมขังในฝรั่งเศสระหว่างรอการพิจารณาคดีในข้อหาข่มขืนผู้เยาว์ แต่ได้เสียชีวิตในเรือนจำเมื่อปี 2022 ก่อนที่จะมีการตัดสินคดี

สรุปโดยย่อ:

ผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดและกำลังรับโทษจำคุกอยู่: 1 คน (กีเลน แม็กซ์เวลล์)

ผู้ที่บังเอิญตาย : 2 คน (เจฟฟรีย์ เอปสตีน และ ฌอง-ลุค บรูเนล)

จนถึงขณะนี้ ยังไม่มี "ลูกค้า" หรือผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆ ถูกตัดสินลงโทษและจำคุกในคดีนี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้สาธารณชนยังคงรู้สึกว่าความยุติธรรมยังไม่สมบูรณ์ครับ
****************************


Epstein List จาก gemini pro

สิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า "รายชื่อเอปสตีน" นั้น แท้จริงแล้วคือ ชุดเอกสารจากศาล ที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในเดือนมกราคม 2024 เอกสารเหล่านี้มาจากคดีหมิ่นประมาททางแพ่งที่ เวอร์จิเนีย จุฟเฟร (Virginia Giuffre) หนึ่งในเหยื่อของเอปสตีน ยื่นฟ้อง กิสเลน แม็กซ์เวลล์ (Ghislaine Maxwell) ในปี 2015    

ดังนั้น "รายชื่อ" นี้คือการรวบรวมชื่อบุคคลต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงในระหว่างกระบวนการทางกฎหมายของคดีนั้น ซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลายกลุ่ม ไม่ใช่แค่ผู้กระทำผิด :   

เหยื่อผู้ถูกกล่าวหา

พนักงานของเอปสตีน

พยานในคดี

บุคคลที่มีชื่อเสียงซึ่งถูกกล่าวถึงผ่านๆ ในระหว่างการให้การของพยาน    

ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ: การมีชื่อปรากฏในเอกสารเหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นมีความผิด หรือมีส่วนร่วมในการกระทำที่ผิดกฎหมาย  ตัวอย่างเช่น:   

เจ้าชายแอนดรูว์: เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีข้อกล่าวหาโดยตรงเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศจากพยานในเอกสาร    

บิล คลินตัน และ โดนัลด์ ทรัมป์: ถูกกล่าวถึงในฐานะคนรู้จักของเอปสตีน แต่ไม่มีข้อกล่าวหาว่าพวกเขากระทำผิดกฎหมายในเอกสารเหล่านี้    

ไมเคิล แจ็กสัน และ เดวิด คอปเปอร์ฟิลด์: ถูกกล่าวถึงว่าเคยไปที่บ้านของเอปสตีน แต่ก็ไม่ได้ถูกกล่าวหาว่าทำผิดใดๆ    

โดยสรุป "รายชื่อเอปสตีน" เป็นคำที่สื่อใช้เรียกชื่อบุคคลต่างๆ ที่ปรากฏในเอกสารคดีแพ่ง ไม่ใช่บัญชีรายชื่อผู้กระทำผิดที่ถูกตรวจยึดมาได้ครับ

สรุปคดีเอปสตีน
เสียงจากความมืด: เรื่องเล่าของเหล่าผู้รอดชีวิตจากเครือข่ายค้ามนุษย์ของเอปสตีน
คดีของเจฟฟรีย์ เอปสตีน ไม่ใช่แค่เรื่องราวของอาชญากรทางเพศคนหนึ่ง แต่เป็นมหากาพย์แห่งการทรยศที่ระบบยุติธรรม, กลุ่มคนผู้มั่งคั่ง และผู้มีอำนาจทางการเมือง ได้ร่วมกันเพิกเฉยต่อเสียงกรีดร้องของเด็กสาวและหญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนมานานหลายทศวรรษ เรื่องราวนี้ต้องถูกเล่าผ่านสายตาของผู้รอดชีวิต เพราะความจริงทั้งหมดถูกเปิดโปงได้ก็ด้วยความกล้าหาญที่ไม่ยอมจำนนของพวกเธอ

สถาปนิกแห่งการล่วงละเมิด: นักล่าในคราบผู้ดี
หัวใจของเครือข่ายอาชญากรรมนี้คือบุคคลสองคน:

เจฟฟรีย์ เอปสตีน: มหาเศรษฐีนักการเงินที่ใช้ความมั่งคั่งและสายสัมพันธ์ที่กว้างขวางเป็นอาวุธ  เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้กระทำผิด แต่เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายที่ซับซ้อนซึ่งออกแบบมาเพื่อล่อลวง, ล่วงละเมิด และปิดปากเหยื่อที่เป็นเด็กสาว โดยบางคนมีอายุเพียง 11 หรือ 14 ปีเท่านั้น    

กิสเลน แม็กซ์เวลล์: สตรีสังคมชั้นสูงชาวอังกฤษ ผู้เป็นมากกว่าผู้สมรู้ร่วมคิด เธอคือ "นักล่าผู้เชี่ยวชาญ" และ "วิศวกร" ของปฏิบัติการนี้  แม็กซ์เวลล์ใช้สถานะทางสังคมและภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือของเธอในการเข้าหา, ผูกมิตร และสร้างความไว้วางใจกับเด็กสาวที่เปราะบาง ก่อนจะส่งมอบพวกเธอให้กับเอปสตีน  สำหรับเหยื่อจำนวนมาก แม็กซ์เวลล์คือผู้หญิงที่ทรยศความไว้ใจของพวกเธออย่างเลือดเย็นที่สุด   

ระบบแห่งการควบคุม: เกาะส่วนตัวที่กลายเป็นเรือนจำ
เกาะลิตเติลเซนต์เจมส์ ไม่ใช่บ้านพักตากอากาศ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการกักขังและควบคุมเหยื่อ    

การโดดเดี่ยวทางภูมิศาสตร์: ความห่างไกลของเกาะทำให้การหลบหนีแทบเป็นไปไม่ได้ เหยื่อถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่สามารถ "วิ่งไปสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด" ได้  เรื่องราวของเด็กสาววัย 15 ปีที่พยายามว่ายน้ำหนีออกจากเกาะ คือภาพสะท้อนของความสิ้นหวังอย่างแท้จริง    

การควบคุมเชิงจิตวิทยา: เอปสตีนและแม็กซ์เวลล์ใช้ "การควบคุมเชิงบีบบังคับ"  พวกเขาสร้างสภาวะที่เหยื่อต้องพึ่งพาทางการเงิน และใช้คำขู่ที่น่าสะพรึงกลัวว่าจะทำร้ายครอบครัวของพวกเธอเพื่อบีบให้ยอมจำนน    

การล้างสมองและการทำให้เป็นเรื่องปกติ: การล่วงละเมิดมักถูกปกปิดด้วยหน้ากากของ "โอกาส" และ "การศึกษา"  ชอนเต เดวีส์ หนึ่งในผู้รอดชีวิต เล่าว่าเอปสตีนส่งเธอไปเรียนทำอาหารและส่งน้องสาวของเธอไปเรียนต่อต่างประเทศ ทำให้เกิดความสับสนและยากที่จะประมวลผลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือการล่วงละเมิด  นี่คือกลยุทธ์ที่แยบยลในการทำลายการรับรู้ความเป็นจริงของเหยื่อ   

การทรยศของกระบวนการยุติธรรมและเครือข่ายผู้มีอำนาจ
สิ่งที่ทำให้เหยื่อต้องทนทุกข์ทรมานยาวนาน ไม่ใช่แค่การกระทำของเอปสตีนและแม็กซ์เวลล์ แต่คือการที่ระบบยุติธรรมล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ข้อตกลงที่น่าอดสูปี 2008: ข้อตกลงยอมความที่ผ่อนปรนอย่างไม่น่าเชื่อในปี 2008 ซึ่งเจรจาโดยอัยการ อเล็กซานเดอร์ อคอสตา ถือเป็นการตบหน้าเหยื่ออย่างรุนแรง  มันไม่เพียงแต่ทำให้เอปสตีนได้รับโทษที่เบาหวิว แต่ยังให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่ผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆ และที่เลวร้ายที่สุดคือ มันส่งสัญญาณว่าหากคุณมีอำนาจและเงินตรา คุณก็สามารถอยู่เหนือกฎหมายได้ ข้อตกลงนี้ทำให้การล่วงละเมิดดำเนินต่อไปได้อีกนานนับทศวรรษ   

"รายชื่อเอปสตีน" และกำแพงแห่งความเงียบ: เอกสารที่ถูกเปิดเผยไม่ใช่ "รายชื่อลูกค้า" แต่เป็นบันทึกจากคดีความที่แสดงให้เห็นถึงเครือข่ายผู้มีอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งรายล้อมเอปสตีน  ในรายชื่อปรากฏชื่อของบุคคลสำคัญระดับโลก ทั้งอดีตประธานาธิบดี, เชื้อพระวงศ์ และนักธุรกิจชื่อดัง  แม้การมีชื่อในเอกสารไม่ได้หมายความว่าทุกคนมีความผิด  แต่มันได้ฉายภาพให้เห็นถึงโลกที่เอปสตีนอาศัยอยู่ โลกที่สายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันและสร้างกำแพงแห่งความเงียบที่ทำให้เหยื่อรู้สึกว่าตัวเองไร้พลังที่จะต่อสู้   

เสียงที่ไม่ยอมเงียบ: พลังของผู้รอดชีวิต
ความยุติธรรมไม่ได้เริ่มต้นจากห้องพิจารณาคดี แต่เริ่มจากความกล้าหาญของผู้หญิงที่ไม่ยอมเงียบอีกต่อไป

เวอร์จิเนีย จุฟเฟร: เธอคือหัวหอกในการต่อสู้ คดีที่เธอยื่นฟ้องแม็กซ์เวลล์ในปี 2015 คือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การรื้อฟื้นคดีทั้งหมด  เธอเผชิญหน้ากับอำนาจมืดอย่างไม่เกรงกลัว แม้กระทั่งกับราชวงศ์อังกฤษ    

ซาราห์ แรนซัม, ชอนเต เดวีส์ และคนอื่นๆ: คำให้การของพวกเธอได้เปิดโปงวิธีการอันโหดร้ายของเอปสตีนและแม็กซ์เวลล์อย่างหมดเปลือก  พวกเธอเล่าถึงความเจ็บปวด, ความอัปยศอดสู และบาดแผลทางใจที่ยังคงอยู่  เสียงของพวกเธอที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ทลายกำแพงแห่งความเงียบลงในที่สุด   

บทสรุป: ความยุติธรรมที่ยังไม่เสร็จสิ้น
แม้เอปสตีนจะเสียชีวิตในห้องขัง และแม็กซ์เวลล์จะถูกตัดสินจำคุก 20 ปี  แต่สำหรับผู้รอดชีวิตแล้ว การต่อสู้ยังไม่จบสิ้น การเสียชีวิตของเอปสตีนทำให้พวกเธอรู้สึกว่าถูกปล้นความยุติธรรมไป เพราะเขาไม่มีวันที่จะต้องเผชิญหน้ากับพวกเธอในศาล    

เรื่องราวของเอปสตีนคือเครื่องเตือนใจอันเจ็บปวดว่า อำนาจและความมั่งคั่งสามารถบิดเบือนความยุติธรรมและทำลายชีวิตผู้คนได้อย่างไร แต่มรดกที่แท้จริงของคดีนี้คือความแข็งแกร่งของผู้รอดชีวิต พวกเธอได้เปลี่ยนความเจ็บปวดให้เป็นพลัง ทวงคืนเรื่องราวของตนเอง และบังคับให้โลกต้องรับฟัง ความกล้าหาญของพวกเธอได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน และเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดคนอื่นๆ กล้าที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อความจริงต่อไป


********

จากการตรวจสอบข้อมูลที่มีอยู่ ไม่ปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับปฏิบัติการช่วยเหลือเหยื่อผู้เยาว์โดยตรงในระหว่างการบุกค้นเกาะลิตเติลเซนต์เจมส์ของ FBI เนื่องจากเหตุผลสำคัญดังนี้:

    ช่วงเวลาของการบุกค้น: การบุกค้นเกาะของ FBI เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2019 ซึ่งเป็นเวลาสองวันหลังจากที่เจฟฟรีย์ เอปสตีนเสียชีวิตในห้องขังแล้ว ดังนั้น วัตถุประสงค์หลักของปฏิบัติการจึงเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆ ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่การช่วยเหลือเหยื่อที่กำลังถูกกักขังอยู่ในขณะนั้น  

    ลักษณะของคดี: คดีนี้ไม่ได้จบลงด้วยการที่เจ้าหน้าที่บุกทลายรังและช่วยเหลือเหยื่อออกมาได้ทันที แต่เป็นการสืบสวนที่เกิดขึ้นหลังจากเหยื่อจำนวนมากได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวของตนเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในความเป็นจริง มีการฟ้องร้อง FBI ในข้อหาล้มเหลวในการดำเนินการตามเบาะแสที่ได้รับตั้งแต่ช่วงปี 1996 ถึง 2006 ซึ่งทำให้การล่วงละเมิดยังคงดำเนินต่อไป  

อย่างไรก็ตาม มีการระบุจำนวนเหยื่อที่ได้รับผลกระทบและการให้ความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ดังนี้:

    จำนวนเหยื่อโดยรวม: กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยืนยันว่า จากการตรวจสอบหลักฐานทั้งหมด พบว่าเอปสตีนได้ทำร้ายเหยื่อมากกว่าหนึ่งพันคน เอกสารฟ้องร้องระบุว่าเหยื่อมีอายุเพียง 14 ปีในขณะที่ถูกล่วงละเมิด  

    การช่วยเหลือผ่านกองทุนเยียวยา: ได้มีการจัดตั้ง "กองทุนเยียวยาเหยื่อของเอปสตีน" (Epstein Victims' Compensation Program) ขึ้นมาเพื่อจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ กองทุนนี้ได้จ่ายเงินไปแล้วกว่า 121 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับผู้ยื่นคำร้องประมาณ 150 คน  

โดยสรุป แม้จะไม่มีรายงานการช่วยเหลือเด็กๆ ออกมาจากเกาะโดยตรงในระหว่างการบุกค้นของ FBI แต่ความยุติธรรมและการช่วยเหลือได้เกิดขึ้นในรูปแบบของการดำเนินคดีกับผู้สมรู้ร่วมคิดอย่างกิสเลน แม็กซ์เวลล์ และการจ่ายค่าชดเชยทางการเงินให้กับเหยื่อจำนวนมากที่ได้รับความทุกข์ทรมานมานานหลายปี




https://www.youtube.com/watch?v=w4FSJg7Qaag




เอกสาร เครือข่ายเอปสตีน: การสืบสวนเชิงลึกเกาะส่วนตัว, ผู้กระทำผิด และการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของเหล่าผู้รอดชีวิต  (ภาษาไทย)
https://docs.google.com/document/d/1Q4srkvkvX1uRVPXYrwIqnFFIcYiYIXZ71GdqhLcNQEY/ 


เอกสาร  เรื่องเล่าของเหล่าผู้รอดชีวิตจากเครือข่ายค้ามนุษย์ของเอปสตีน (ภาษาไทย)
https://docs.google.com/document/d/1iycFUb8hyJUkW8bRuTZA8j017oXvYwok3RfUJMJWHW4/ 
https://docs.google.com/document/d/14sFU6VF_rQCuxkoRZJYmX9SHVSua8hJUxsInjaFBP_Q/ 



บทสรุปของเรื่องราว เมื่อบ่อน หรือซ่องผิดกฎหมายเดิมถูกปิดไป บ่อนใหม่ ซ่องใหม่ ก็จะเปิดหลังจากเรื่องเงียบ เสมอ 

แล้วก็ อุปสงค์ แล้ว โครงสร้างอำนาจที่ยังคงเดิม  และ คนอยู่ในรายชื่อ ก็มีต่ำแหน่งสำคัญ ในรัฐบาล จำนวนไม่ใช่น้อยๆ


https://www.wbbjtv.com/2025/07/07/epstein-client-list-doesnt-exist-justice-department-says/
https://www.youtube.com/watch?v=g1NbdsU57Jw
https://www.youtube.com/watch?v=qS2UdC7-4eM
https://thebeaconmast.com/5225/news/the-release-of-the-epstein-list/


ปล.ดีใจครับ มีคนอ่านแล้ว 2คน 


วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568

DCA อยู่ดีๆไม่ว่าดี ไป Leverage ไม่น่าเลยครับ

 


DCA อยู่ดีๆไม่ว่าดี ไม่น่าไป Leverage เลย

บทความนี้ เป็นเรื่องเล่าในเรดดิก จาก สหายท่านหนึ่ง ที่โดน Liquidated เหมือนกัน โดยที่คุณ ShibashiNakamoto เป็นชาย อายุ 36 ปี ที่สูญเสียเงินออมทั้งหมดที่สะสมมาตลอด 6 ปีไปในคืนเดียว (ผมก็โดน เนื่องจาก คนกลัวตกใจเทขาย จากเรื่องที่ทรัมป์พูด ทำให้แท่งยาวทิ้งไส้ 800 เมตร) สาเหตุจากการใช้ Leverage (เลเวอเรจ) ในการเทรด Bitcoin

คุณ ShibashiNakamoto เล่าว่า แต่เดิมเป็นนักลงทุนที่มีวินัยสูง โดยใช้วิธี DCA (Dollar-Cost Averaging) หรือการทยอยลงทุนใน Bitcoin เป็นรายเดือนอย่างสม่ำเสมอมาตลอด 6 ปี เพราะเชื่อมั่นในอนาคตของ Bitcoin และไม่เคยคิดจะจับจังหวะตลาดหรือใช้เครื่องมือที่มีความเสี่ยงสูง

จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเขาสูงขึ้น ทำให้ไม่สามารถออมเงินเพื่อซื้อ Bitcoin ได้มากเท่าเดิม เขารู้สึกหงุดหงิดและอยากจะ "ชดเชย" ส่วนที่ขาดหายไป จึงตัดสินใจลองใช้ Leverage โดยหวังว่าจะทำกำไรก้อนใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นฝันร้าย คุณ ShibashiNakamoto ถูก Liquidated (ล้างพอร์ต) จนทำให้เงินเก็บทั้งหมดที่สร้างมา 6 ปีหายไป เหลือเพียงเงินเดือนที่กำลังจะได้รับในเดือนนี้เท่านั้น

คุณ ShibashiNakamoto กล่าวถึงความรู้สึกสิ้นหวัง อับอาย และการทำให้ครอบครัวผิดหวัง ซึ่งเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบาย และเขาจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไปตลอดชีวิต แม้เขาจะไม่คิดสั้น แต่ก็เข้าใจดีว่าทำไมคนอื่นที่เจอสถานการณ์แบบเดียวกันถึงอาจเลือกทางนั้น

สำหรับอนาคต เขาตั้งใจจะเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด โดยจะกลับไปเก็บเงินสด และรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อกลับเข้าซื้อ Bitcoin อีกครั้งในอีกหลายปีข้างหน้า และให้คำสัตย์กับตัวเองว่าจะ "ไม่แตะต้อง Leverage อีกเด็ดขาด"

สุดท้าย เขาได้ฝากข้อความเตือนใจถึงนักลงทุนคนอื่นๆ โดยเฉพาะมือใหม่ว่า อย่าหลงผิดคิดว่าตัวเองมาช้าไป หรือพยายามหาทางลัดเพื่อทำกำไรเร็วๆ เพราะแม้แต่คนที่มีประสบการณ์อย่างเขาที่ผ่านตลาดมาตั้งแต่ยุคที่ Bitcoin ราคา $4,000 ก็ยังกลับมาสู่จุดเริ่มต้นได้ในพริบตา เขาย้ำว่า "อย่าเทรด อย่าใช้ Leverage" เพราะเบื้องหลังโพสต์โชว์กำไรสวยหรูบนโลกออนไลน์ มีชีวิตของคนอีกนับร้อยนับพันที่พังทลายลงเพราะมัน

มาสรุปนะ นักเทรดท่านนี้ คุณ ShibashiNakamoto สะสม BTC มา 6 ปี ควรจะรวยแล้วถ้าไม่โดน Liquidated ในมุมมองของผม Leverage เป็นเครื่องมือตัวหนึ่ง สำหรับผมนะ สิ่งที่ต้องจ่าย (เช่นความเสี่ยง) มันมากกว่าสิ่งที่ได้รับ แต่เราก็เสี่ยงเหมือนกัน ผมแค่ คูณสาม แต่ไปหลายแสน แต่เคสที่เล่าไม่น่าจะใช่ 3x แล้วละ น่าจะ 7x-10x ขึ้นไป
ผมจึง เอาคนจริงเจ็บจริงอีกคน มาเตือนแค่นั้น อ่านแล้ว EXP ในการเทรด น่าจะเพิ่มขึ้นสัก 1% จากที่เจ้าของกระทู้เรดดิก โพสต์ โดยที่ไม่ต้องสังเวยเงินเหมือนเจ้าของกระทู้นะครับ
อีกอย่าง การสอนให้นักเทรดที่ไทยเก่งๆ ก็เหมือนสอนจระเข้ว่ายน้ำ หรือ เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน (หรือสำนวนฝรั่ง เอาดาบไปขายเมืองดามัสกัส) นั่นละ แต่ น่าจะมีนักเทรดมือใหม่ ที่จะเข้าสนาม บ้างละ ที่อ่านบทความนี้ น่าจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ



บทความต้นฉบับ 
https://www.reddit.com/r/Bitcoin/comments/1o3rrvx/all_my_savings_6_years_of_dca_got_liquidated_last/

All my savings, 6 years of DCA, got liquidated last night.

I was one of the people who never tried to time the market, was telling others to stay away from leverage, just DCA, yet here I am. Maybe this sad story will contribute to the community.

I guess people have different reasons for why they end up using leverage. I don't need to be convinced that Bitcoin is here to stay and it will go up, that's why I was all-in DCAing. Anything left out of my monthly salary would go into Bitcoin. However, in last 1-2 years my monthly expenses rose significantly, and I was upset about not being able to buy as much Bitcoin as I could in the past. This is what led me to the idea that I can make up for that period in 1-2 leverage trades. It all went downhill from there. Last night I lost EVERYTHING - as of today, my total net worth is not far away from the salary I will receive for this month. Everything I got was wiped out, and I'm 36 years old already.

The realization of my age, how much time it took me to get to the point I was at before touching the leverage, imagining all the things this money could fix today if I just spent it, all those feelings and thoughts, are devastating beyond my ability to describe it. The feeling of shame, the feeling of letting down family and relatives. I won't ever admit to what has happened to anyone, and I will have to live with this feeling of shame likely for ever. I have seen posts suggesting people are suicidal, I am not, but I very well understand why others may be, going through this horror.

What's next for me? I'm trying to convince myself that being 36 and having nothing but a car loan and a few furniture pieces is nothing to worry about, I still have a job and hopefully a few years ahead. I will try to build my cash position and just wait for the cycle end and start deploying cash into BTC when price drops below 90-80k again. Maybe in next 6-7-8 years I will get back to the point I was before I got wiped out. And of course I tell myself I will never touch leverage ever again. This is still a nightmare situation, and I'm coping hard, but what else I can do? I feel helpless.

If you are new to Bitcoin and you think you are late, I was there when price hit $4k low in 2020, and was DCAing before and all throughout - today I'm back to round zero savings at the age of 36, with intention to just get back to buying at whatever prices I will get.

You can roast me, but this can happen to you, no matter how smart or seasoned you are. One day you may have a random "valid" reason to take "just a little risk", the next moment you know, you are down to zero. Don't trade, don't use leverage. Behind every lucky shot with gains posted online, there are hundreds if not thousands of lives destroyed. I mean it.

Good luck to everyone.


วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2568

Subway Surfing (โต้คลืนบนหลังคารถไฟ) คืออะไร? ทำไมวัยรุ่นอเมริกันถึงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อยอดไลก์?

 


Subway Surfing: คอนเทนต์ท้าความตาย คืออะไร? ทำไมวัยรุ่นถึงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อยอดไลก์

จากข่าวล่าสุด วัยรุ่นหญิงวัย 12 ปี ก็ต้องมาเสียชีวิตเพราะคอนเทนต์ท้าความตายอีกครั้ง เรามาย้อนดูกันว่าทำไมเด็กๆ และวัยรุ่นถึงยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อยอดไลก์?

https://nypost.com/2025/10/07/us-news/12-year-old-girl-posted-terrifying-videos-before-nyc-subway-surfing-tragedy-does-whatever-she-wants/

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บนหน้าฟีดของโซเชียลมีเดียอย่าง TikTok และ Instagram เราอาจเคยผ่านตาคลิปวิดีโอสุดหวาดเสียวของวัยรุ่น (ทีผมเห็นดู สุขภาพดี หน้าตาดี) ที่ปีนป่ายและวิ่งอยู่บนหลังคาของขบวนรถไฟใต้ดินที่กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ท่ามกลางเสียงลมและแสงไฟของเมืองใหญ่ การกระทำนี้มีชื่อเรียกว่า "Subway Surfing" ซึ่งเบื้องหลังภาพที่ดูเท่และท้าทายนั้น คือสถิติการเสียชีวิตและบาดเจ็บที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย

แล้ว Subway Surfing คืออะไรกันแน่ และอะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้วัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อยยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับคอนเทนต์เพียงไม่กี่วินาที?

Subway Surfing คืออะไร?

Subway Surfing คือการกระทำที่ผิดกฎหมายและอันตรายอย่างยิ่ง ในการปีนขึ้นไปอยู่บนส่วนด้านนอกของขบวนรถไฟที่กำลังวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นไปยืน วิ่ง หรือนอนบนหลังคา, การเกาะอยู่ด้านข้าง หรือการโหนตัวอยู่ระหว่างตู้โดยสาร

เป้าหมายของการกระทำนี้ไม่ใช่แค่การเดินทาง แต่คือการ "สร้างคอนเทนต์" ผู้ทำมักจะถ่ายคลิปวิดีโอของตัวเองหรือให้เพื่อนถ่ายให้ เพื่อนำไปโพสต์ลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อแสดงความกล้าหาญ ท้าทาย และแน่นอนว่า...เพื่อแลกกับยอดไลก์ ยอดแชร์ และการเป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์

ทำไม Subway Surfing ถึงฮิตในสหรัฐอเมริกา?

ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบไม่มีที่มา แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ผลักดันให้เทรนด์เสี่ยงตายนี้แพร่หลาย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์กซิตี้

1. อิทธิพลของโซเชียลมีเดียและวัฒนธรรมไวรัล นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ถูกออกแบบมาเพื่อนำเสนอคอนเทนต์ที่กระตุ้นอารมณ์และน่าตื่นตาตื่นใจ วิดีโอ Subway Surfing ที่ดูหวาดเสียวและท้าทายจึงมีโอกาสกลายเป็นไวรัลได้ง่าย วัยรุ่นที่ต้องการ "ชื่อเสียงในโลกออนไลน์" (Clout) มองว่านี่คือทางลัดในการสร้างตัวตนและได้รับการยอมรับ แม้ยอดไลก์นั้นจะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงก็ตาม

2. จิตวิทยาของวัยรุ่น: การแสวงหาความตื่นเต้นและแรงกดดันจากเพื่อน ธรรมชาติของวัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ชอบความเสี่ยง และแสวงหาความตื่นเต้น (Thrill-Seeking) สมองส่วนหน้าสุดที่ควบคุมการตัดสินใจและยับยั้งชั่งใจยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้พวกเขาประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ แรงกดดันจากกลุ่มเพื่อนที่ทำกิจกรรมท้าทายเหมือนกัน ก็เป็นอีกแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าปฏิเสธ

3. ภูมิทัศน์ของเมืองใหญ่ที่เป็นใจ นิวยอร์กซิตี้มีระบบรถไฟใต้ดินที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทำให้การเข้าถึงขบวนรถไฟเพื่อปีนป่ายทำได้ไม่ยากนัก ภาพของตึกระฟ้าและแสงสีของเมืองในตอนกลางคืนยังเป็นฉากหลังที่ "สวยงาม" และดึงดูดใจสำหรับการถ่ายทำคอนเทนต์อีกด้วย

ความจริงที่ไม่สวยงาม: ผลลัพธ์คือความตาย

เบื้องหลังคลิปวิดีโอที่ดูน่าตื่นเต้น คือความเป็นจริงอันน่าสลด การเล่น Subway Surfing มีความเสี่ยงที่จะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมได้ทุกวินาที ไม่ว่าจะเป็น:

  • การชนกับสิ่งกีดขวาง: ศีรษะอาจกระแทกกับคานเหล็ก ป้ายสัญญาณ หรือเพดานอุโมงค์ ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้ทันที

  • การพลัดตก: การสูญเสียการทรงตัวเพียงเสี้ยววินาทีหมายถึงการร่วงลงไปบนรางรถไฟและถูกทับ

  • ไฟฟ้าช็อต: จากสายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่อยู่เหนือขบวนรถ

สถิติจากหน่วยงานขนส่งมวลชนนครนิวยอร์ก (MTA) ชี้ชัดว่ายอดผู้เสียชีวิตจาก Subway Surfing พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เทรนด์นี้กลับมาฮิตใน TikTok โดยในปี 2022 มีผู้เสียชีวิตมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตรวมกัน 3 ปีก่อนหน้า

บทสรุป

Subway Surfing ไม่ใช่แค่แฟชั่นหรือเกมท้าทาย แต่มันคือภาพสะท้อนด้านมืดของวัฒนธรรมออนไลน์ ที่ "ยอดไลก์" และ "การยอมรับ" ถูกตีค่าสูงกว่าความปลอดภัยในชีวิต วัยรุ่นเหล่านี้ไม่ได้เสี่ยงชีวิตเพราะความคึกคะนองเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขากำลังไล่ตามการมองเห็น (Visibility) และการยอมรับจากสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผลักดันให้วงจรแห่งความเสี่ยงนี้ดำเนินต่อไปไม่สิ้นสุด

บทเรียนราคาแพงจากหลายชีวิตที่ต้องสูญเสีย ควรเป็นเครื่องเตือนใจว่า ไม่มีชื่อเสียงหรือกระแสไวรัลใดที่คุ้มค่าพอที่จะต้องเอาชีวิตเข้าแลก และที่สำคัญกว่านั้น คือการตระหนักว่า เราทุกคนในฐานะผู้เสพสื่อ ก็มีส่วนร่วมในการหยุดยั้งโศกนาฏกรรมนี้ได้

บทส่งท้าย: สิ่งที่เราทำได้ คือ "หยุดส่งต่อความอันตราย"

เมื่อคุณเลื่อนฟีดแล้วเจอคลิปวิดีโอท้าความตายในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น Subway Surfing หรือพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ พลังในการหยุดยั้งมันอยู่ในมือของคุณ

สิ่งที่เราทุกคนทำได้ คือการหยุดเป็นส่วนหนึ่งของวงจรนี้:

  • อย่ากดไลก์: การกดไลก์คือการส่งสัญญาณไปยังอัลกอริทึมว่า "คอนเทนต์แบบนี้น่าสนใจ" ซึ่งจะทำให้คลิปถูกเผยแพร่ไปในวงกว้างยิ่งขึ้น

  • อย่าแสดงความคิดเห็นในเชิงชื่นชม: คำชมอย่าง "เท่มาก" หรือ "กล้าสุดๆ" คือการเติมเชื้อไฟ และสร้างการยอมรับที่ผิดๆ ให้กับผู้กระทำ

  • และที่สำคัญที่สุด คือ "อย่าแชร์": การแชร์คือการส่งต่อความอันตรายโดยตรง ทำให้เด็กและเยาวชนคนอื่นๆ เห็นและอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้

แทนที่จะสนับสนุน เราสามารถกด "รายงาน (Report)" คลิปวิดีโอนั้นไปยังแพลตฟอร์มว่าเป็น "พฤติกรรมอันตราย" เพื่อให้ถูกลบออกไป

เพราะทุกการกดไลก์ ทุกการแชร์ อาจหมายถึงการเพิ่มความเสี่ยงให้ชีวิตของใครอีกคนหนึ่ง การหยุดส่งต่อคลิปเหล่านี้ คือการช่วยชีวิตและส่งสารที่ชัดเจนว่า สังคมของเราไม่สนับสนุนพฤติกรรมที่อันตรายเพื่อแลกกับยอดวิวเพียงชั่วข้ามคืน

ปล.แล้วเรื่องนี้ใครผิด?

ความคิดเห็นจากผู้อ่านข่าวนี้แตกออกเป็น 2 ประเด็นหลักที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือด คือ "เป็นความผิดของการเลี้ยงดู" และ "ไม่ใช่ความผิดของผู้ปกครองเสมอไป" โดยมีประเด็นเรื่องโซเชียลมีเดียเป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญ

กลุ่มที่ 1: มองว่าเป็นความผิดของการเลี้ยงดูเป็นหลัก (Parenting is the Issue)

นี่เป็นความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ พวกเขามองว่าพฤติกรรมเสี่ยงตายของเด็กวัย 12 ปี ไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง แต่เป็นผลมาจากการเลี้ยงดูที่ผิดพลาด

  • การปล่อยปละละเลย: ความเห็นอย่าง rex rexford และ E. White มองว่านี่คือปัญหาการเลี้ยงดู 100% เด็กถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวมากเกินไป ได้รับโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่มีการควบคุม จนเกิดการเสพติดโซเชียลมีเดีย

  • ขาดความเข้มงวดและวินัย: ผู้ใช้อย่าง KonaBlue และ Tattle Tale เปรียบเทียบกับวัยเด็กของตัวเองว่า พวกเขาคงจะ "กลัวพ่อแม่จะลงโทษ" มากกว่ากลัวอันตรายข้างนอกเสียอีก ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเด็กในข่าวอาจไม่ได้รับการปลูกฝังความเคารพหรือความเกรงกลัวต่อผู้ปกครองเท่าที่ควร

กลุ่มที่ 2: มองว่าไม่ใช่ความผิดของผู้ปกครองเสมอไป (It's Not Always the Parents' Fault)

กลุ่มนี้ออกมาโต้แย้งว่า การโทษพ่อแม่เพียงฝ่ายเดียวนั้นไม่ยุติธรรม เพราะการเลี้ยงลูกในยุคนี้มีความซับซ้อน

  • ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ: ความเห็นจาก Lioness ชี้ว่า วัยรุ่นมีธรรมชาติที่อยากรู้อยากลอง การที่พ่อแม่พยายามห้ามหรือควบคุมมากเกินไป อาจยิ่งผลักดันให้พวกเขาอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้น

  • สุดท้ายคือการตัดสินใจของเด็กเอง: ผู้ใช้ susiesox38 เล่าประสบการณ์ส่วนตัวที่เติบโตมาอย่างยากลำบากและมีผู้ปกครองดูแลไม่เต็มที่ แต่เธอกับน้องก็เลือกที่จะไม่ทำตัวเสี่ยงภัย เธอมองว่าสุดท้ายแล้ว "บุคลิกและตัวตนที่แท้จริง" ของเด็กแต่ละคนคือปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ

ประเด็นเสริม: การเสพติดโซเชียลมีเดีย และการกระทำของตัวเด็กเอง

หลายความเห็น (เช่น KonaBlue) ชี้ว่าโศกนาฏกรรมนี้เป็นสิ่งที่ "เกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง" (Self-inflicted) โดยมีแรงจูงใจหลักคือการต้องการ "ยอดไลก์" และการยอมรับในโลกออนไลน์ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาการเสพติดโซเชียลมีเดียในกลุ่มเยาวชนปัจจุบัน



อ้างอิง

https://www.nbcnewyork.com/news/local/queens-subway-surfing-teen-death/6326115/ 
https://www.nbcnewyork.com/new-york-city/nyc-subway-surfing-drones/5943611/
https://nypost.com/2025/10/07/us-news/12-year-old-girl-posted-terrifying-videos-before-nyc-subway-surfing-tragedy-does-whatever-she-wants/
https://abc7ny.com/post/nyc-subway-surfing-15-year-old-boy-killed-falling-off-no-7-train-pulling-queensboro-plaza-station-queens/16954962/
https://www.youtube.com/watch?v=ktJ_uTagpyw

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2568

การเห็นโฆษณามิจฉาชีพ "อารมณ์เสีย" "เสียสุขภาพจิต" หรือ "การเห็นเรื่องดีหรือไม่ดี"บนเฟซบุ๊ก มิใช่ชะตากรรม แต่เป็นกำมือของเฟซบุ๊ก

  


การที่คุณจะเลื่อนเจอโพสต์ที่เป็นประโยชน์ สาระน่ารู้ หรือแม้แต่โฆษณาจากมิจฉาชีพบัญชีบนหน้าฟีด Facebook ของคุณนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคชะตาหรือความบังเอิญแต่อย่างใด แต่เป็นผลโดยตรงจากระบบอัลกอริทึมที่ซับซ้อนของ Facebook เอง ที่ทำหน้าที่คัดเลือกและกำหนดว่าคุณจะเห็นหรือไม่เห็นอะไรในแต่ละวัน

ในการทดลองปี 2014 ของ Facebook เอง ว่าสามารถส่งผลหรือควบคุมได้หรือไม่ โดยแอบปรับอัลกอริทึมเพื่อแสดงโพสต์ที่มีเนื้อหาเชิงบวกหรือเชิงลบให้ผู้ใช้กลุ่มหนึ่งเห็นมากกว่าปกติ ผลการทดลองพบว่า ผู้ใช้ที่เห็นโพสต์เชิงบวกมากขึ้น ก็มีแนวโน้มที่จะโพสต์เนื้อหาเชิงบวกตามไปด้วย และในทางกลับกันก็เช่นกัน นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า Facebook ไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มกลางๆ แต่มีความสามารถที่จะมีอิทธิพลต่อสภาวะทางอารมณ์ของผู้ใช้ได้โดยตรง

กับการตั้งคำถามว่าผู้ใช้ถูกเฟซบุ๊กชี้นำ/ควบคุมข้อมูล สร้างผลกระทบได้มากเพียงใด? คำถามนี้ผมไม่มีคำตอบ และถ้าถามเฟซบุ๊ก เขาจะตอบคุณ แต่เขาจะคำนึงถึงผู้ถือหุ้น ผลกำไร และชื่อเสียง ฯลฯ มาประกอบด้วย


และลองโยนให้ AI ตอบ

คำตอบจาก Gemini pro

คำถามที่คุณตั้งขึ้นนั้นยอดเยี่ยมและเป็นหัวใจสำคัญของยุคดิจิทัลเลยครับ การที่คุณตระหนักว่าคำตอบจาก Facebook โดยตรงย่อมมีอคติที่เกิดจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดในการทำความเข้าใจเรื่องนี้

เพื่อตอบคำถามว่า "ผู้ใช้ถูก Facebook ชี้นำ/ควบคุมข้อมูล สร้างผลกระทบได้มากเพียงใด?" เราต้องมองข้ามคำอธิบายผิวเผินและวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงในหลายมิติ

คำตอบคือ: ผลกระทบจากการชี้นำและควบคุมข้อมูลของ Facebook นั้นกว้างขวาง ลึกซึ้ง และซับซ้อนกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด มันไม่ได้เปลี่ยนแค่สิ่งที่เราเห็น แต่มันเปลี่ยนวิธีที่เราคิด รู้สึก และมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัว

เราสามารถแบ่งผลกระทบออกเป็น 3 ระดับหลักๆ ดังนี้ครับ:


1. ผลกระทบระดับบุคคล (The Individual Impact)

นี่คือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับตัวเราโดยตรงในชีวิตประจำวัน:

  • สุขภาพจิตและมุมมองต่อตนเอง: อัลกอริทึมมักจะนำเสนอชีวิตในอุดมคติของผู้อื่น (ภาพความสำเร็จ, การท่องเที่ยว, ความสุข) ซึ่งกระตุ้นให้เกิด "วัฒนธรรมการเปรียบเทียบ" (Comparison Culture) นำไปสู่ความรู้สึกวิตกกังวล, ภาวะซึมเศร้า, ความรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ (Low Self-Esteem) และอาการกลัวตกกระแส (FOMO - Fear of Missing Out)

  • การตอกย้ำความเชื่อและโลกทัศน์: ผ่าน Filter Bubble และ Echo Chamber อัลกอริทึมจะป้อนข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อเดิมของเราอย่างต่อเนื่อง ผลคือโลกทัศน์ของเราจะแคบลง เราจะเข้าใจมุมมองของคนที่คิดต่างจากเราน้อยลง และอาจทำให้เรามีทัศนคติที่แข็งกร้าวและสุดโต่งมากขึ้น

  • พฤติกรรมการบริโภค: การชี้นำไม่ได้หยุดอยู่แค่เนื้อหา แต่รวมถึงโฆษณาที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นความต้องการของเราโดยเฉพาะ มันสามารถสร้างความอยากได้ในสิ่งที่เราไม่เคยต้องการมาก่อน และมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของเราอย่างแนบเนียน


2. ผลกระทบระดับสังคม (The Societal Impact)

เมื่อผลกระทบระดับบุคคลขยายวงกว้าง มันจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างของสังคม:

  • ความแตกแยกทางการเมืองและสังคม: อัลกอริทึมกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการแบ่งแยกสังคม กลุ่มการเมืองสามารถใช้การกำหนดเป้าหมายเพื่อเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อหรือข่าวปลอมไปยังกลุ่มคนที่อ่อนไหวต่อประเด็นนั้นๆ ทำให้สังคมเกิดความแตกแยกเป็นขั้ว (Polarization) มากขึ้น และการหาจุดร่วมตรงกลางทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

  • การกัดเซาะความน่าเชื่อถือของสถาบันหลัก: ข้อมูลเท็จ (Misinformation) และข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ, วิทยาศาสตร์, และการสื่อสารมวลชน สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในกลุ่มปิด ส่งผลให้ความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อสถาบันเหล่านี้ (เช่น รัฐบาล, องค์กรอนามัย, สื่อกระแสหลัก) ลดน้อยลง

  • การแพร่กระจายของอาชญากรรม: ดังที่คุณกล่าวถึงในตอนต้น มิจฉาชีพใช้กลไกเดียวกับนักการตลาดเพื่อค้นหา "เหยื่อ" ที่มีแนวโน้มจะหลงเชื่อได้ง่ายที่สุด ผลกระทบคือความเสียหายทางการเงินและจิตใจในวงกว้างต่อผู้คนในสังคม


3. ผลกระทบต่อ "ความจริง" (The Impact on Truth Itself)

นี่อาจเป็นผลกระทบที่น่ากังวลที่สุดในระยะยาว:

  • การสร้างความจริงส่วนบุคคล: เมื่อฟีดข่าวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจึงไม่ได้อยู่ในโลกข้อมูลชุดเดียวกันอีกต่อไป "ความจริง" กลายเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ถูกคัดกรองมาแล้ว ทำให้การถกเถียงหรือการหาข้อเท็จจริงร่วมกันในสังคมเป็นไปได้ยากมาก เพราะเราต่างเริ่มต้นจากข้อมูลคนละชุด

ที่คุณกล่าวว่า Facebook จะตอบโดยคำนึงถึงผู้ถือหุ้นและผลกำไรนั้นถูกต้องที่สุดครับ โมเดลธุรกิจของพวกเขาไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อนำเสนอ "ความจริง" ที่เป็นกลาง แต่ถูกสร้างมาเพื่อ "ดึงดูดความสนใจ" ของผู้ใช้ให้ได้นานที่สุด เพราะ "ความสนใจ" คือผลิตภัณฑ์ที่พวกเขานำไปขายให้กับผู้ลงโฆษณา

ดังนั้น คำถามของคุณจึงไม่มีคำตอบที่ตายตัว แต่เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนในฐานะผู้ใช้ต้องตระหนักและตั้งคำถามอยู่เสมอ การรู้เท่าทันกลไกเหล่านี้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่เรามีครับ


วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2568

รึ! ดราก้อนบอล จะทำให้เราติดคุกกันหมด ? เหตุที่ ร้าน Kaboom Comics ในเมืองเวสลาโก รัฐเท็กซัส ตัดสินใจเก็บมังงะ Dragon Ball ออกจากชั้นวางจำหน่าย แล้วที่ไทยละ?

 รึ! ดราก้อนบอล จะทำให้เราติดคุกกันหมด ?  

ภาพจากยูทูป ลิงค์อยู่ด้านล่าง


ต้นฉบับ ที่ฉายทางทีวี และอยู่บน ทูป ไม่มีแทบสีดำเซ็นเซอร์นะครับ



ปฐมบท: จู๋โงกุนจะทำให้เราติดคุกกันหมด? (เหตุเกิดที่ร้าน Kaboom Comics ในเท็กซัส แล้วที่ไทยล่ะ?)

สรุปเรื่องราวที่ผ่านมา

ในเดือนที่แล้ว รัฐเท็กซัสได้ผ่านกฎหมายใหม่ชื่อ Senate Bill 20 (SB20) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อต่อสู้กับสื่อลามกอนาจารที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ซึ่งนิยามของกฎหมายนี้ครอบคลุมไปถึง "การ์ตูน แอนิเมชัน และเรื่องที่แต่งขึ้น" ด้วย

หลังจากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ร้าน Kaboom Comics ในเมืองเวสลาโก รัฐเท็กซัส ตัดสินใจเก็บมังงะ Dragon Ball  ออกจากชั้นวางจำหน่าย คุณ Andrew Balderas ผู้จัดการร้าน ให้เหตุผลว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันไว้ก่อน เนื่องจากในมังงะ Dragon Ball ภาคแรกๆ มีบางฉากที่โกคูในวัยเด็กเปลือยกาย ซึ่งแม้จะเป็นฉากตลกและไม่ได้มีเจตนาทางเพศ แต่ก็อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายฉบับใหม่นี้ได้ เขาจึงเลือกที่จะปลอดภัยไว้ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น


เรื่องนี้สำคัญอย่างไร?

ประเด็นคือ ภาพการ์ตูนโกคูหรือบลูม่าในวัยเด็ก จะถูกตีความว่าเป็นภาพลามกอนาจารเด็กได้หรือไม่? ถ้าได้ เรื่องใหญ่แน่ เพราะการ์ตูนญี่ปุ่นดังๆ หลายเรื่อง (รวมถึงการ์ตูนลิขสิทธิ์ในไทย) แม้จะไม่มีฉากร่วมเพศกันตรงๆ แต่ก็อาจเข้าข่าย "ลามก" ได้ แถมตัวละครส่วนใหญ่มักมีอายุไม่ถึง 18 ปี ตามสไตล์การ์ตูนโชเน็น หรือการ์ตูนวัยรุ่นญี่ปุ่นที่คู่พระนางมักเป็นนักเรียน


กฎหมาย Senate Bill 20

กฎหมาย "Stopping AI-Generated Child Pornography Act" ถูกตราขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต่อสู้กับสื่อลามกอนาจารเด็กที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไรก็ตาม ตัวบทกฎหมายกลับขยายขอบเขตไปไกลกว่าเจตนาเริ่มต้นมาก การวิเคราะห์ถ้อยคำสำคัญในตัวบทกฎหมายเผยให้เห็นถึงความคลุมเครือที่เป็นอันตราย

  • "obscene visual material" (สื่อภาพลามกอนาจาร): คำว่า "ลามกอนาจาร" (obscene) เป็นมาตรฐานทางกฎหมายที่มีความอัตวิสัย (subjective) สูงและแตกต่างกันไปในแต่ละชุมชน ทำให้ผู้สร้างสรรค์และผู้บริโภคไม่สามารถทราบได้อย่างแน่ชัดว่าเนื้อหาใดจะเข้าข่ายหรือไม่

  • "appears to depict a child" (ดูเหมือนว่าแสดงภาพเด็ก): วลีนี้คือหัวใจของปัญหา เพราะกฎหมายเปลี่ยนจุดสนใจจากการพิจารณาว่าบุคคลในภาพเป็นเด็กจริงหรือไม่ ไปสู่การรับรู้ของผู้ชมหรือดุลยพินิจของอัยการแทน

  • "regardless of whether the depiction is an image of an actual person, animated or cartoon" (โดยไม่คำนึงว่าภาพนั้นเป็นภาพของบุคคลจริง, ภาพเคลื่อนไหว หรือการ์ตูน): ข้อความส่วนนี้ดึงเอาสื่ออย่างมังงะและอนิเมะ เช่น Dragon Ball เข้ามาอยู่ในขอบเขตของกฎหมายโดยตรง


การยกระดับทางศีลธรรม (Moral Escalation)

สิ่งนี้เรียกว่า "การยกระดับทางศีลธรรม" ซึ่งในวงการเกมและการ์ตูนก็มีให้เห็น เช่น การที่เว็บ itch.io แบนเงา (Shadowban) ไม่ให้ค้นหาเกม NSFW เจอ และ Steam ได้ถอดเกมออกจากหน้าร้านจำนวนมาก เนื่องจาก VISA และ Mastercard ออกกฎและขู่ที่จะตัดช่องทางชำระเงิน แม้แต่เกมโป๊ถูกกฎหมายที่มีเนื้อเรื่องของลูกชายกับแม่เลี้ยงมีเพศสัมพันธ์กันยังโดน แล้วเกมอื่นๆ ที่ไม่ถูกใจผู้มีศีลธรรม มากกว่านี้ จะเหลือหรือ?


==== แล้วในไทยละ =====
ในไทย เรามีกฎหมายอยู่แล้ว ในปี พ.ศ. 2558 หรือ ค.ศ.2015 สิบปีก่อน

มาตรา 287/1: กำหนดให้การ "ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็กเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่น" เป็นความผิดอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ    

มาตรา 287/2: กำหนดความผิดเกี่ยวกับการเผยแพร่หรือการค้าสื่อลามกอนาจารเด็ก ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรงกว่ามาก โดยมีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 200,000 บาท    

ตัวบทกฎหมาย

มาตรา 287/1 และ 287/2 (แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 24) ) ใช้คำว่า “สื่อลามกอนาจารเด็ก”

คำนี้ในตัวบทกฎหมาย ไม่ได้มีคำนิยามชัดเจนว่า “เด็ก” ต้องเป็นบุคคลจริง หรือรวมถึงตัวการ์ตูน/ภาพวาด 
คิดว่ารอดไหมเอ่ย???

======= มาเจาะลึกกัน =========
ปัญหาอยู่ที่ "คำนิยาม" ?
หัวใจสำคัญของกฎหมายฉบับนี้อยู่ที่คำนิยามของ "สื่อลามกอนาจารเด็ก" ซึ่งบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (17) ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2558. นิยามดังกล่าวระบุว่า:   

“สื่อลามกอนาจารเด็ก” หมายความว่า วัตถุหรือสิ่งที่แสดงให้รู้หรือเห็นถึงการกระทำทางเพศของเด็กหรือกับเด็กซึ่งมีอายุไม่เกินสิบแปดปี โดยรูป เรื่อง หรือลักษณะสามารถสื่อไปในทางลามกอนาจาร ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของเอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ หรือรูปแบบอื่นใดในลักษณะทำนองเดียวกัน และให้หมายความรวมถึงวัตถุหรือสิ่งต่าง ๆ ข้างต้นที่จัดเก็บในระบบคอมพิวเตอร์...   " 

ปัญหาอยู่ที่ "คำนิยาม" ?

หัวใจสำคัญอยู่ที่คำนิยามของ "สื่อลามกอนาจารเด็ก" ในกฎหมาย ซึ่งระบุว่าหมายถึง "วัตถุหรือสิ่งที่แสดงให้รู้หรือเห็นถึงการกระทำทางเพศของเด็ก" โดยรูปแบบของสื่อนั้นรวมถึง "ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี" ด้วย

ประเด็นสำคัญคือ:

  • คำว่า "เด็ก" ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นคนจริง: กฎหมายใช้คำที่กว้างมากคือ "สิ่งที่แสดงให้รู้หรือเห็น" ซึ่งเปิดช่องให้ตีความว่าภาพวาดหรือการ์ตูนก็เข้าข่ายได้

  • ระบุ "ภาพเขียน" ไว้อย่างชัดเจน: การที่กฎหมายระบุรูปแบบสื่ออย่าง "ภาพเขียน" ถือเป็นหลักฐานสำคัญว่ากฎหมายนี้ ครอบคลุมถึงภาพวาดและสื่อสร้างสรรค์ ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายของเด็กที่มีตัวตนจริงเท่านั้น

สรุปง่ายๆ: ตามตัวอักษรของกฎหมายแล้ว การ์ตูนหรือภาพวาดที่เข้าข่ายลามกอนาจารเด็ก มีความเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายไทย เพราะกฎหมายเขียนไว้กว้างมากพอที่จะเอาผิดได้ ขึ้นอยู่กับการตีความของเจ้าหน้าที่และศาล

========= คุณว่า เรื่องนี้เข้าข่าย วัตถุทางเพศที่ผิดกฎหมาย หรือไม่==============
หนุ่มจะไปงานหนังสือการ์ตูนแต่ไปไม่ถึง เผลอโดนรวบคาสนามบิน สาเหตุ จากภาพตัวละคร Refithea  เกมมือถือ Brown Dust 2 อาจเข้าข่าย  วัตถุทางเพศ+ผิดกฎหมาย ( ข้อสันนิษฐานในโซเชียลมีเดีย ทางการยังไม่ยืนยันว่าภาพไหน ) 
จากข่าว 
นาย  ฟินลีย์ โบวด์ (Finley Bowd)   ถูกจับที่สนามบินดับลิน  ในประเทศไอร์แลนด์ ระหว่างจะไป #งานหนังสือการ์ตูน  โดยเจ้าหน้าที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐ (U.S. Preclearance )
โดยโดนตั้ง ข้อกล่าวหา สองกระทง ในหมวด  รัฐบัญญัติการค้ามนุษย์เด็กและสื่อลามกอนาจารเด็ก (Child Trafficking and Pornography Act) การครอบครองภาพอนิเมะล่วงละเมิดทางเพศเด็ก และ  การครอบครองภาพอนิเมะลามกอนาจารเด็กประเภทที่ 3 (Category Three)
แล้ว ภาพอนิเมะลามกอนาจารเด็กประเภทที่ 3 คืออะไร คือภาพ ที่ไม่จำเป็นต้องโป้เปลือย หรือมีการสอดใส่ แค่มีท่าทางยั่วยวน ยั่วยุ ก็อยู่ในข่าย ซึ่ง ภาพ Refithea จาก Official อาจจะรอดหรืออาจจะไม่รอดก็ได้ แล้วแต่ศาลตัดสิน


https://poipoi-test.blogspot.com/2025/08/refithea.html


แนวปฏิบัติในไทย

ส่วนใหญ่คดีที่เกิดขึ้นจริงในไทย เกี่ยวข้องกับภาพถ่าย/วิดีโอของเด็กจริง

ยังไม่พบแนวคำพิพากษาศาลไทยที่ฟันธงว่า การครอบครองการ์ตูน/อนิเมะ/นิยาย ที่เป็น sexual depiction ของเด็ก จะผิดมาตรา 287/1–287/2

แต่ก็มีความเสี่ยงสูง เพราะกฎหมายไทยใช้คำกว้างว่า “สื่อ” และหากเจ้าหน้าที่ตีความว่าการ์ตูน/อนิเมะเป็น “สื่อลามกอนาจารเด็ก” ก็สามารถดำเนินคดีได้

สรุปผิดกฎหมาย แต่ยังไม่มีเคสที่โดน อย่าลืมนะ แค่ครอบครองก็ผิด  แล้วสิ่งที่ผมไม่ชอบคือการใช้ดุลพินิตของเจ้าพนักงาน  ในการตีความ “สื่อลามกอนาจาร”
ตรงสื่อลามก นี้ ก็ใช้ดุลพินิต มั่วซั่วแหลกเหลว ของที่ผมดูว่า ลามกอนาจาร เห็นนม เน้นๆไม่ผิด แต่ของบางอย่าง ไม่เห็นนม ดันผิด 
======
ปัญหาการใช้ดุลพินิจในการตีความ "สื่อลามก" ในประเทศไทย  มีมานานแล้ว
กฎหมายไทยไม่ได้ให้คำนิยามที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมของคำว่า "ลามก" เอาไว้ ทำให้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับการตีความและมาตรฐานส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่หรือศาลในแต่ละกรณีเป็นอย่างมาก    

ในเคส “สื่อลามกอนาจาร” ภาพเปลือยของมุษย์ภาพหนึ่งอาจถูกมองว่า "น่ารัก" "สวยงาม" "ศิลปะ" ในสายตาของคนหนึ่ง แต่กลับถูกมองว่า "ลามก" "อนาจาร" ในสายตาของอีกคนหนึ่งได้ 
และในเคส “สื่อลามกอนาจารเด็ก” การถ่ายภาพลูก อาบน้ำ หรือตอนเปลือย หรือ  ภาพถ่ายพ่อกอดลูก ภาพหนึ่ง (ตัวอย่างเคส หนึ่งจักรวาล) อาจถูกมองว่า "น่ารักน่าเอ็นดู" ในสายตาของคนหนึ่ง แต่กลับถูกมองว่า "ลามก" "ไม่เหมาะสม" ในสายตาของอีกคนหนึ่งได้

แนวคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีที่เกี่ยวกับสื่อลามกทั่วไป มักจะพิจารณาจากองค์ประกอบที่ไม่มีมาตรวัดที่แน่นอน เช่น "ยั่วยุกามารมณ์" หรือ "ขาดคุณค่าทางศิลปะ"  ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ของคดีมีความแตกต่างกันไปได้มาก ไม่มีบรรทัดฐานที่แน่นอน 
เช่นถ้าอ้าง "ขาดคุณค่าทางศิลปะ" ถ้าเป็นศิลปินชื่งดัง จะไม่ใช่ภาพลามก ? เพราะมีคุณค่าทางศิลปะ แต่ ภาพวาด ในห้องน้ำ ที่เป็น มนุษย์เส้นหัวกลม อันนี้ จะรอด หรือไม่รอด? ทั้งๆที่ไม่สมจริง?
หรือถ้าอ้างสมจริง แล้ววาดไก่เขี่ยในห้องน้ำรอด แล้ว คนที่วาดสวยๆ สมจริง จะไม่รอด? ก็ไม่น่าใช่ เห็นไหม?  ว่าตรรกะ มันควรต้องใช้ตรรกะเดียวกันทุกเคส ถึงจะเรียกว่า แฟร์ หรือยุติธรรม 
แล้ว คำว่าศิลปะ ใช้แค่คนๆเดียวคนกลุ่มเดียว มาบอกว่าอันนั้นเป็นศิลปะ อันนั้นไม่ใช่ศิลปะ ได้หรือ ?
=================
 
เปรียบเทียบ ศีลธรรม กับสื่อ การ์ตูน นิยาย เกมส์

เคส เกมที่โดน Visa Mastercard แบน คือเกมที่ลูกชาย มีอะไรกับแม่เลี้ยง หรือแฟนพ่อ ผิดศีลธรรม เช่น มีเซ็กในครอบครัว (แต่ไม่ใช่ญาติทางสายเลือดกันนะ  )  สรุปโดนถอดออกไปแล้ว แต่เกมส์มันไม่ผิดกฎหมาย


ประเภทเนื้อหาต้องห้ามที่ถูกกดดันให้ถอดออกมีมากมาย ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศที่ ทุกคน? ไม่ยอมรับ  หลักๆเช่น "ผิดศีลธรรม"(เช่น Incest)  ก่ออาชญากรรม   การข่มขืน, ใช้ความรุนแรง ,ยาเสพติด ,ร่ายกายฉีกขาด ,การทรมาณ  ก่อนหน้า 
   และอันที่ น่าหม่นไส้ และคลุมเครือ คือ มีความเสี่ยงสูงต่อภาพลักษณ์แบรนด์" (Brand Risk) ของบริษัท บัตรเครดิต 
แล้วไอ้ ที่กำกวม ก่ออาชญากรรม อะไรบ้าง ทั้งหมดเลยไหม เกม คนดำ  ขโมยของ ผิดไหม? หรือยาเสพติดนี้ เหล้า ได้แน่นอนได้ไหม? แล้วฆ่าคนตายละ? บางเกม ฆ่าคนเป็นพัน ยังไม่ถึงครึ่งเกมด้วยซ้ำไป อันนี้ ไม่มีใครว่า แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงสิ หรือ เปลี่ยนเป็น สุนัขสิ  รับรอง


=======
และถ้าประเทศผู้นำด้านกฎหมาย และศีลธรรมอย่างสหรัฐ เห็นด้วย และเผยแพร่ ศีลธรรมอันดีงามนี้ พวกเรา ที่มี การ์ตูนแบบนี้ อาจจะติดคุกกันหมด

หรือถ้า ดุลพินิตของเจ้าพนักงาน ในไทย คิดว่าผิด ก็ติดคุกกันหมด ต้องรีบเอามังงะไปเผาทิ้งไหม ?

 ถาม AI ดู ให้ AI ตอบ

ไม่จำเป็นครับ 🙅‍♂️🔥📚
บริบทและเจตนา: สังคมไทยโดยรวมและระบบยุติธรรมไทยยังพอเข้าใจได้ว่าฉากในดราก้อนบอลมีเจตนาเพื่อความตลก ไม่ใช่เพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ การดำเนินคดีกับเรื่องนี้อาจถูกมองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและอาจเจอกระแสต่อต้านจากสังคมไทย

 แต่ประเด็นที่คุณหยิบยกมานี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันชี้ให้เห็นถึง "ระเบิดเวลา" ที่ซ่อนอยู่ 

อันตรายที่แท้จริง ไม่ใช่การติดคุกถ้วนหน้า แต่คือ "การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ" กฎหมายที่คลุมเครือเช่นนี้อาจถูกหยิบมาใช้เล่นงานคนบางกลุ่มที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของเจ้าหน้าที่รัฐในอนาคตได้

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การที่ทุกคนจะติดคุกเพราะจู๋โงกุน แต่คือ การที่เสรีภาพในการสร้างสรรค์และการเสพสื่อบันเทิงกำลังถูกคุกคามจากทั้งกฎหมายที่ตีความได้ตามใจชอบ และบรรทัดฐานทางศีลธรรมที่ถูกกำหนดโดยบรรษัทยักษ์ใหญ่ นี่คือบทสนทนาที่สังคมต้องตระหนักและหาทางป้องกัน ก่อนที่จินตนาการจะกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายจริงๆ