วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2567

การทำลายฐานแฟนคลับ เพื่อ เอาใจหวังลูกค้า กลุ่มใหม่ ของ Budweiser (บัดไวเซอร์) สู่ Star Wars (สตาร์วอร์ส)

การทำลายฐานแฟนคลับ เพื่อ  เอาใจหวังลูกค้า กลุ่มใหม่ ของ Budweiser (บัดไวเซอร์)  สู่  Star Wars (สตาร์วอร์ส)






เมื่อเราพูดถึงความสำเร็จหรือความล้มเหลวในด้านการตลาด การเปรียบเทียบกับโลกของการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ Star Wars สามารถทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมองจากมุมมองของการรักษาภาพลักษณ์และฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น

1. การรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์/เรื่องราว

บัดไวเซอร์: ภาพลักษณ์ของบัดไวเซอร์ในฐานะ “เบียร์ของผู้ชาย/เบียร์แมนๆ” ถูกสร้างขึ้นมาอย่างยาวนาน ซึ่งคล้ายกับการที่ Star Wars สร้างภาพลักษณ์ของตนเองในฐานะภาพยนตร์ที่ดึงดูดเด็กผู้ชายและเด็กเนิร์ด ให้เข้ามาสนุกกับเรื่องราวที่เต็มไปด้วยการผจญภัยในอวกาศและความขัดแย้งระหว่างความดีและความชั่ว อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของบัดไวเซอร์ในการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ไปเป็น “เบียร์ของคนข้ามเพศ” โดยไม่คำนึงถึงฐานลูกค้าหลัก นำไปสู่ความล้มเหลวทางการตลาดอย่างชัดเจน

Star Wars: ในทำนองเดียวกัน Star Wars เองก็เผชิญกับความท้าทายในการรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ เมื่อมีการสร้างภาคต่อหรือเนื้อเรื่องที่แตกต่างจากที่แฟนคลับคาดหวัง เช่น การเปลี่ยนทิศทางของเรื่องราวจากสิ่งที่เด็กผู้ชายและเด็กเนิร์ดสนุกไปกับการผจญภัยในอวกาศและฮีโร่ ไปเป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ เนื้อเรื่องไม่สมเหตุสมผล เพียงเพื่อจะมาดันตัวละครให้เก่งกาจ ซึ่งสะท้อนในคะแนนรีวิวที่ต่ำของซีรีส์ "Star Wars: The Acolyte" ที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่สอดคล้องกับสิ่งที่แฟนคลับคาดหวัง

2. ฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น

บัดไวเซอร์: บัดไวเซอร์มีฐานลูกค้าที่ภักดีมานานหลายทศวรรษ เหมือนกับฐานแฟนคลับของ Star Wars ที่มีมาตั้งแต่ภาคแรกของภาพยนตร์ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สอดคล้องกับความคาดหวัง บัดไวเซอร์ก็สูญเสียฐานลูกค้าหลักทันที ยอดขายตกลง และถูกเบียร์คู่แข่งแย่งชิงตำแหน่งเบียร์ที่ขายดีที่สุดไป

Star Wars: เช่นเดียวกัน Star Wars มีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น แต่การเล่าเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของแฟนคลับในภาคใหม่ๆ บางครั้งก็ทำให้แฟนคลับรู้สึกไม่พอใจ ถึงแม้ว่าจะยังคงมีฐานแฟนคลับที่กว้างขวาง แต่การต่อต้านบางส่วนก็แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของแฟนๆ อาจส่งผลกระทบต่อการยอมรับของพวกเขา

3. การปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองกลุ่มใหม่

บัดไวเซอร์: ความพยายามในการขยายกลุ่มลูกค้าของบัดไวเซอร์ไปยังกลุ่ม LGBTQ+ นั้นเป็นสิ่งที่มีความตั้งใจดี แต่ปัญหาอยู่ที่การขาดความเข้าใจในกลุ่มเป้าหมายใหม่ และการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเกินไป ทำให้สูญเสียฐานลูกค้าเดิมอย่างรวดเร็ว

Star Wars: ในทางกลับกัน Star Wars ก็พยายามที่จะขยายฐานแฟนคลับไปยังกลุ่มใหม่ๆ ด้วยการเพิ่มตัวละครที่หลากหลายทางเพศและเชื้อชาติ แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะได้รับการตอบรับดีจากกลุ่มใหม่ แต่ก็ก่อให้เกิดการต่อต้านจากแฟนคลับบางส่วนที่ไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขามองว่าไม่สอดคล้องกับเรื่องราวเดิม

4. บทเรียนที่ได้รับ

บัดไวเซอร์: บทเรียนที่ได้รับจากกรณีของบัดไวเซอร์คือ ความสำคัญของการเข้าใจในความรู้สึกและความคาดหวังของฐานลูกค้าหลัก และการเปลี่ยนแปลงต้องทำอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้สูญเสียความไว้วางใจจากลูกค้า

Star Wars: สำหรับ Star Wars การตอบสนองต่อกลุ่มใหม่โดยไม่ละเลยฐานแฟนคลับเดิมเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน การรักษาความสมดุลระหว่างการพัฒนาเรื่องราวใหม่ๆ และการคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ที่แฟนๆ รัก ถือเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสำเร็จของแบรนด์ในระยะยาว

สรุป: กรณีของบัดไวเซอร์และ Star Wars สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาภาพลักษณ์และความคาดหวังของฐานลูกค้า การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้คิดถึงฐานลูกค้าเดิมสามารถนำไปสู่ความล้มเหลวอย่างร้ายแรงในแง่ของการตลาดและการยอมรับของแฟนคลับ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์สินค้า หรือเรื่องราวในภาพยนตร์ การเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการของฐานลูกค้าหลักเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับความสำเร็จที่ยั่งยืน



---
จริงๆแล้วความเห็นของผองเพื่อน คือพวก woke แค่ต้องการใช้ star war เพื่อส่งข้อความ ตาสว่าง เท่านั้น  ไม่ได้ทำมาเพื่อ แฟน star war ที่ตั้งหน้าตั้งตารอดูตั้งแต่สมัยเด็ก 


---

เพิ่มเติม

Budweiser และ Bud Light เป็นสองแบรนด์เบียร์ภายใต้บริษัท Anheuser-Busch ที่มีความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่มีความแตกต่างกันทั้งในด้านลักษณะของผลิตภัณฑ์และกลุ่มเป้าหมาย:

  1. Budweiser: เป็นเบียร์ลาเกอร์ที่มีประวัติยาวนานและเป็นที่รู้จักในฐานะ "King of Beers" มีรสชาติที่เข้มข้นและหนักแน่นกว่า ด้วยความพยายามในการรักษาความคลาสสิกและภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง Budweiser มุ่งเน้นไปที่การตลาดที่ย้ำถึงความเป็นอเมริกันและมรดกของแบรนด์ โดยมีภาพลักษณ์ที่ผูกพันกับกีฬา ความเป็นชาติ และประสบการณ์การดื่มเบียร์แบบดั้งเดิม

  2. Bud Light: เป็นเวอร์ชันที่เบากว่าและมีแคลอรี่น้อยกว่า Budweiser มีรสชาติที่เบากว่าและเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการทางเลือกที่เบากว่าในการดื่มเบียร์ Bud Light มักจะถูกเชื่อมโยงกับการตลาดที่สนุกสนาน เข้าถึงง่าย และมีแนวทางที่ทันสมัยกว่า เพื่อดึงดูดผู้บริโภคในกลุ่มคนรุ่นใหม่

ความแตกต่างสำคัญระหว่าง Budweiser และ Bud Light จึงอยู่ที่รสชาติและการตลาดของพวกเขา โดยที่ Budweiser ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและดั้งเดิม ขณะที่ Bud Light มุ่งเน้นไปที่ความเบาและเข้าถึงง่ายมากกว่า

การที่ Bud Light นำกลยุทธ์ที่เรียกว่า "woke" ซึ่งหมายถึงการสนับสนุนและส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการเคลื่อนไหวทางสังคมเช่น LGBTQ+ อาจกระทบต่อ Budweiser เนื่องจากเหตุผลหลายประการ:

  1. ภาพลักษณ์และแบรนด์ในเครือ: แม้ว่า Bud Light และ Budweiser จะเป็นสองแบรนด์ที่แยกจากกัน แต่ทั้งคู่ยังคงอยู่ภายใต้บริษัทแม่เดียวกันคือ Anheuser-Busch การเคลื่อนไหวใดๆ ของ Bud Light ที่สร้างความขัดแย้งหรือการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มผู้บริโภคบางส่วน อาจทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ในเครือ เช่น Budweiser ถูกมองในทางลบด้วย เนื่องจากผู้บริโภคอาจเห็นทั้งสองแบรนด์เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดและท่าทีทางการตลาดเดียวกัน

  2. ฐานลูกค้า: Budweiser มีฐานลูกค้าที่กว้างและมักจะเป็นกลุ่มที่มีความอนุรักษ์นิยมมากกว่า การที่ Bud Light สนับสนุนประเด็นทางสังคมบางอย่างที่อาจไม่ถูกใจกลุ่มลูกค้าดังกล่าว อาจส่งผลให้ลูกค้าบางส่วนมอง Budweiser ในทางลบหรือเลิกสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทั้งเครือของ Anheuser-Busch

  3. ความคาดหวังของลูกค้า: Budweiser มีภาพลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับความเป็นอเมริกันดั้งเดิม ความแข็งแกร่ง และความคลาสสิก การที่ Bud Light เลือกที่จะสนับสนุนแนวคิด "woke" อาจทำให้บางคนรู้สึกว่าแบรนด์ทั้งเครือกำลังเปลี่ยนไปจากสิ่งที่พวกเขาคาดหวัง ซึ่งอาจทำให้ความเชื่อมั่นและความภักดีต่อแบรนด์ลดลง

  4. ผลกระทบทางธุรกิจ: หากการเคลื่อนไหวของ Bud Light ส่งผลกระทบทางการเงินหรือทำให้ยอดขายลดลง Anheuser-Busch อาจตัดสินใจปรับกลยุทธ์การตลาดของทั้งเครือเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ Budweiser ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์หรือแนวทางการสื่อสารเพื่อรักษาฐานลูกค้า